วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

My Blueberry Nights


My Blueberry Nights มาย บลูเบอร์นี่ ไนท์ 300 วัน 5 , 000 ไมล์ ห่างไกลไม่ห่างกัน
ระยะทางระหว่าง การอกหัก กับ การเริ่มต้นใหม่ ห่างกันเท่าไร?
เราจะวัดได้อย่างไร?
ใช้ เครื่องมือวัดที่เรียกว่า  เวลา  ระยะห่าง  หรือว่า ความทรงจำ?
อลิซาเบธ (Norah Jones) หญิงสาวผู้ผิดหวังจากความรัก ได้เริ่มต้นการเดินทางเพื่อค้นหาตัวเอง โดยมุ่งหวังที่จะให้ตัวเธอไกลจากการอกหัก และเมื่อความปวดร้าวในใจเริ่มจะทุเลาลง ประสบการณ์ที่อลิซาเบธได้รับจากบรรดาคนแปลกหน้า ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยนั้น  นำพาเธอไปสู่สิ่งใหม่ๆ ในชีวิตซึ่งเธอไม่เคยคิดมาก่อน  เริ่มจากความคิดในเชิงกวีของเจ้าของคาเฟ่ที่เปิดบริการทั้งคืน (Jude Law)  สู่ข้อเสนอที่สิ้นหวังของนักพนันสาวผู้อับโชค (Natalie Portman)  ตามด้วยข้อผูกมัดที่แตกหักระหว่างตำรวจที่กำลังทุกข์ใจ (David Strathairn) กับภรรยาที่ไม่ยอมฟังเขา (Rachel Weisz) เรื่องราวของแต่ละคนเหล่านี้ ช่วยหล่อหลอมให้มุมมองของอลิซาเบธที่มีต่อชีวิต ต่อสัมพันธภาพ  และเหนือสิ่งอื่นใด ต่อภาพลักษณ์ของตัวเธอเอง ให้มีความบริสุทธิ์สดใสขึ้น อลิซาเบธค่อยๆ ที่จะเริ่มปล่อยให้อดีตผ่านไป เมื่อเธอได้ค้นพบเส้นทางใหม่สำหรับตัวเธอ คือเส้นทางไปสู่รักแท้
จากการกำกับ ภาพยนตร์โดย Wong Ka Wai (หว่อง กา ไว) ผู้สร้างภาพยนตร์ ซึ่งได้รับการยกย่องจากทั่วโลก ภาพยนตร์เรื่อง My Blueberry Nights เป็นเส้นทางที่จะนำทางให้ข้ามช่องว่างอันกว้างใหญ่ระหว่างความเจ็บปวดจากการ สูญเสียความรัก กับการกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง

My Blueberry Nights : Audio Eng
                           : Sub Thai
Rip From DVD

DOWNLOAD

LIES


Lies หนังเกาหลีที่กล่าวถึงเด็กมัธยมวัย 18 ที่บังเอิญรู้จักกับศอลปินชายวัย 30 โดยการติดต่อกันทางโทรศัพท์ และตกลงพบเจอกันโดยเด็กสาวตกลงลงใจที่จะสูญเสียความบริสุทธิ์ให้กัยบเขาในการพบเจอกันครั้งแรกในโรงแรมเล็กๆ และได้นัดพบกันบ่อยขึ้นพร้อมกับการมี Sex ที่แปลกและซาดิสซ์เพิ่มขึ้นของฝ่ายชายโดยเธอก็เต็มใจตอบสนอง
LIES : Audio Kor
         : Sub Thai
Rip From DVD

DOWNLOAD

เด็กอายุต่ำกว่า 18 และผู้มีศีลธรรมจัดไม่ควรดูเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากหนังเรื่องนี้มีฉากทางเพศที่รุนแรง
และไม่เซ็นเซอร์

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

The Bridges Of Madison County


" The Bridges of Madison County "เป็นเรื่องราวของความรัก ที่..." สวยงามแต่ไม่สมควร "เป็นการมองความรักในอีกมุมหนึ่มุมของแรงปรารถนาในจิตใจ ที่ผลักดันให้มันเป็นไปก่อให้เกิดทั้ง " ทุกข์ และ สุข " ขึ้นมาแก่ตัวละครในเรื่อง.... เมื่อแม่เสียชีวิตลง.....แคโรลีน และ ไมเคิ่ล จอหน์สัน สองพี่น้องจึงต้องเดินทางกลับมายังบ้านเกิดเพื่อจัดการเกี่ยวกับพินัยกรรมและงานศพของมารดาแคโรลีน พบเจอรูปถ่ายและเรื่องราวความลับในอดีตของแม่ ซึ่งเชื่อมโยงไปยังกล่องเก็บของที่บรรจุไปด้วยกล้องถ่ายรูป และ สมุดบันทึกและที่สำคัญก็คือจดหมายที่แม่ได้เขียนถึงเธอและพี่ชายเนื้อความในจดหมายกล่าวถึงความลับของแม่ ที่ไม่เคยมีใครได้รู้มาก่อนว่า.....เมื่อครั้งหนึ่งในอดีตที่ผ่านมานานมากแล้วแม่ ที่เป็น " ภรรยา " ที่แสนดีของพ่อ และยังเป็นแม่ของลูกทั้งสองคน ได้ทำสิ่งผิดขึ้นมาแก่ทุกๆคนในครอบครัวด้วยการ."นอกใจ " ไปมีความสัมพันธ์กับชายอื่น ในช่วงเวลา 4 วัน ที่แม่ใช้ชีวิตแต่เพียงลำพังที่บ้านในขณะที่สมาชิกคนอื่นๆ....พ่อและลูกทั้งสอง เดินทางเอาวัวไปเข้าร่วมประกวด ที่งานเกษตรในอิลินอยด์ความลับทั้งหมดได้ถูกเรียงร้อย อยู่ในสมุดบันทึกทั้งหมดสิ้น....ในปีค.ศ 1965 โรเบิร์ต คินเค็ต ช่างภาพของหนังสือเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิคได้เดินทางมายังเมืองเมดิสันเคาตี้ มลรัฐไอโอวา เพื่อถ่ายรูปสะพานที่มีหลังคาหลายแห่ง ในเมืองนี้ เพื่อตีพิมพ์ลงในนิตยสาร ระหว่างทางที่กำลังค้นหาสะพานโรสแมน เขาได้เกิดหลงทาง......จึงได้แวะถามทางกับหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง ฟราสเชสกา เป็นชาวเมืองบารี่ ในประเทศอิตาลี่เธอเคยเป็นสาวน้อยช่างฝัน และอยากที่จะท่องเที่ยวไปทั่วโลก เธอรักหนังสือ และ งานศิลปะ ด้วยความที่รักในการเดินทางทำให้เมื่อเธอได้พบกับ ริชาร์ด จอห์นสัน ทหารหนุ่มชาวอเมริกันที่เดินทางไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อิตาลี่ สาวน้อยช่างฝันจึงตัดสินใจเดินทางข้ามทวีป มาใช้ชีวิตสามีภรรยากับริชาร์ด ในอเมริกาแต่เมืองเมดิสัน เคาตี้ มลรัฐไอโอวา นี้ เป็นเมืองชนบทเล็กๆ ที่สงบสวยงามน่าอยู่ ด้วยวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวบ้าน ใครที่ได้มาเยือนที่นี่ ก็จะต้องตกหลุมรักมันแต่ไม่ใช่กับฟราสเชสกา ที่กลับมองมัน
เหมือนกับการถูกจองจำ จากโลกกว้างที่เธอหลงไหล การมาถึงของโรเบิร์ต คินเค็ต เหมือนกับเป็นการปลุกความฝันในวัยเยาว์ของเธอให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง เธอจะต้องตัดสินใจ.....เลือกที่จะทนอยู่กับสามีและครอบครัวและโยนทิ้งความรัก,ความฝัน ที่เธอรอ
คอยมันมาทั้งชีวิตหรือ.....หนีไปตามที่ใจของเธอต้องการแต่เป็นการทำร้ายจิตใจต่อคนในครอบครัวทั้งริชาร์ด สามีที่ทั้งรักและดีต่อเธอมาโดยตลอด และลูกๆ ที่จะต้องผิดหวังต่อการกระทำผิดของแม่ ไปตลอดกาล !!!

The Bridges Of Medison County : Audio Chi
                                                      : Sub Thai
Rip From DVD

DOWNLOAD

Chungking Express


Chungking Express ผู้หญิงผมทอง ฟัดหัวใจให้โลกตะลึง
ผู้หญิงผมทอง ฟัดหัวใจให้โลกตะลึง ชื่อภาษาไทยของภาพยนตร์ฮ่องกงเรื่อง Chungking Express  ออกฉายในปี ค.ศ. 1994 นำแสดงโดย ทาเคชิ คาเนชิโร่, เหลียง เฉาเหว่ย, เฟย์หว่อง และหลิน ชิงเสีย กำกับการแสดงและเขียนบทโดย หว่อง คาไว
622 (ทาเคชิ คาเนชิโร่) ตำรวจหนุ่มตั้งข้อสงสัยว่าโลกนี้มีอะไรที่ไม่มีวันหมดอายุ เพราะวันที่ 1 เมษายน (ตรงกับวันเอพริลฟูลส์) เป็นวันที่ เมย์ แฟนสาวบอกเลิกกับเขา จากวันนั้นเขาจึงซื้อสับปะรดกระป๋องซึ่งเป็นของโปรดของเธอไปสะสมทุกวัน วันละกระป๋องจนกว่าเธอจะกลับมา หรือไม่ก็ไม่มีสับปะรดกระป๋องที่หมดอายุวันที่ 1 พฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันเกิดเขา ให้ซื้อกินอีก จวบจนเที่ยงคืนของวันที่ 30 เมษายน เธอก็ไม่กลับมา 622 จึงเปิดสับปะรดกระป๋องกินทีละกระป๋อง และเริ่มคิดไว้ว่าหัวใจของเธอก็เหมือนสับปะรดกระป๋องคือ มีวันหมดอายุ คืนนั้นเอง ขณะที่อาเจียนสับปะรดกระป๋องออกมาทั้งหมด 622 ก็ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมแว่นตาดำ วิกผมสีทองและสวมเสื้อกันฝน (หลิน ชิงเสีย) เธอเป็นเอเย่นต์ค้ายาเสพย์ติด และเธอกำลังตามหาใครสักคนอย่างเอาเป็นเอาตาย ต่อมาหลังจากดื่มกันจนร้านปิด 622 พาเธอมาที่โรงแรม เธอก็หลับสนิทราวกับอดนานมาหลายวัน ขณะที่ 622 ก็ดูหนังโทรทัศน์จบไป 2 เรื่อง กินอาหารไป 4 จาน ก่อนฟ้าสางของวันที่ 1 พฤษภาคม 622 ก็ได้จากไป โดยที่ไม่ลืมถอดรองเท้าให้เธอ เพราะแม่เขาเคยสอนไว้ว่าผู้หญิงถ้าสวมรองเท้าเข้านอนแล้ว จะเจ็บเท้า
ขณะที่กำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่นั้น เพจเจอร์ของ เขาที่ไม่เคยมีใครส่งข้อความมาเลยดังหลังจากวิ่งเสร็จ เป็นผู้หญิงคนนั้นนี่เองที่ส่งข้อความอวยพรวันเกิดมาให้เขา 622 ตั้งความหวังว่าคำอวยพรของเธอจะไม่มีวันหมดอายุ
623 (เหลียง เฉาเหว่ย) ตำรวจหนุ่มอีกคนซื้อสลัดให้แฟนสาวที่เป็นแอร์โฮสเตสกินทุกวันจากร้านฟาสต์ฟู้ดแห่ง หนึ่ง อาเฟย (เฟย์หว่อง) ลูกจ้างสาวร้านฟาสต์ฟู้ดที่มาทำงานแทนเมย์หลงรักเขา ทุกครั้งที่เธอทำงาน เธอจะเปิดเพลง California Dreamin ดังลั่น เมื่อ 623 มาซื้อสลัด เธอจะวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ต่อมาเมื่อแฟนสาวทิ้งเขาไป 623 เศร้าลง เธอเลยชวน 623 ไปแคลิฟอร์เนียด้วยกัน แต่เขาไม่ตอบอะไร เธอแอบไปบ้านเขาเวลาที่ 623 ออกตรวจเวร อาเฟยสนุกสนานมากที่นั่น มีความสุข เธอทำความสะอาด เปลี่ยนน้ำตู้ปลา กระทั่งเปลี่ยนตุ๊กตาบน หัวนอนให้ จน 623 แปลกใจว่าใครมาทำให้ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็จับได้คาหนังคาเขา 623 รู้ว่าอาเฟยหลงรักเขา เขาจึงนัดอาเฟยออกเดท แต่แล้วเขาก็ต้องรอเก้อ 623 เพราะเธอไม่มา เขาจึงกลับไปที่ร้านฟาสต์ฟู้ด เถ้าแก่เจ้าของร้านบอกว่าเธอไปเป็นแอร์โฮสเตส และเธอได้ฝากจดหมายไว้ให้เขา ในนั้นมีตั๋วเครื่องบินที่ ลางเลือน วันและเวลาเดียวกันแต่เป็นปีถัดไป 623 ไม่เข้าใจความหมายมากนัก แต่แล้วในปีถัดมา อาเฟยในเครื่องแบบแอร์โฮสเตสก็กลับมา และ 623 ก็เลิกเป็นตำรวจแล้ว
ความสำเร็จและคำวิเคราะห์วิจารณ์
Chungking Express นับเป็นผลงานการกำกับเรื่องที่ 3 ของหว่อง คาไว ผู้กำกับชาวฮ่องกงที่ได้ชื่อว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นเรื่องราวของ 2 เหตุการณ์ ที่ไม่เหมือนกันแต่มีผู้คนและบางสิ่งเกี่ยวเนื่องกัน ตัวละครทุกวันในเรื่องแทบจะไม่มีใครมีชื่อที่แท้จริง ยกเว้น อาเฟย นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่มีความสำคัญมากพอที่จะต้องถูกถามหรือเป็นที่จดจำ เสมือนความสัมพันธ์ของผู้คนในเมืองใหญ่เฉกเช่นฮ่องกง ที่ความสัมพันธ์ของผู้คนเป็นไปอย่างฉาบฉวย ซึ่งตัวละครบางตัวเกี่ยวเนื่องมาจากภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้านี้ของเขา คือ Ashes of Time และจะมีบทบาทต่อไปในภาพยนตร์เรื่องหน้า คือ Fallen Angels ด้วย
โดยที่คำว่า Chungking Express นั้นเชื่อว่ามาจากคำลงท้ายของชื่อร้านฟาดฟู้ดในฮ่องกงที่มักลงท้ายว่า Express ส่วน Chungking นั้นมิใช่ชื่อเมือง (จุงกิง) แต่เป็นชื่อย่านที่พักของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวตะวันตกในฮ่องกง คล้ายกับถนนข้าวสารในกรุงเทพมหานคร
ภาพยนตร์ได้รับการกล่าวขานว่า การกำกับภาพของคริสโตเฟอร์ ดอยล์ ถ่ายทอดภาพและเนื้อเรื่องออกมาได้อย่างอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว ไร้เหตุผล ท่ามกลางเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยสีสันและผู้คนหลากหลาย แต่กลับแปลกแยกทางวัฒนธรรม ยิ่งมีผู้คนอยู่มากเท่าใดยิ่งแตกต่างมากขึ้นเท่านั้น จนนักวิจารณ์บางคนกล่าวว่าเป็นอารมณ์โหยหา "แม่" ของผู้คนในฮ่องกง ที่กำลังจะกลับคืนสู่การปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่อีกครั้งในปี ค.ศ. 1997 ที่กำลังจะมาถึง
ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จทั้งทางรายได้และรางวัลเป็นอย่างมาก โดยได้รับรางวัลตุ๊กตาทองฮ่องกง ประจำปี ค.ศ. 1995 สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (เหลียง เฉาเหว่ย) และตัดต่อยอดเยี่ยม รวมทั้งเหลียง เฉาเหว่ย ยังได้รับรางวัลม้าทองคำ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ในปี ค.ศ. 1994 อีกด้วย
ในฮอลลีวู้ด นับเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของหว่อง คาไว ที่เควนติน ทาแรนติโน่ ผู้กำกับชาวอเมริกันที่ได้ชื่อว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของตัวเองอีกคน เมื่อได้ชมแล้วชื่นชอบ และซื้อไปฉายที่นั่น ซึ่งภาพยนตร์ที่ทำรายได้เป็นจำนวนมากที่สหรัฐอเมริกา และได้สร้างชื่อเสียงให้กับหว่อง คาไว ในระดับโลก
ที่มาข้อมูล :

Chungking Express : Audio Chi
                                : Sub Thai
Rip From DVD

DOWNLOAD

Wong Kar Wai หว่องกาไว


ท่ามกลางแสงสปอตไลท์ที่ฉายไปบนเวทีประกาศรางวัลปาล์มทองคำครั้งที่ 59 บุรุษผู้มากับแว่นดำที่ดูราวกับมาเฟียในหนังฮ่องกง ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ด้วยภาษาบ้านเกิดว่าการได้เป็นประธานคณะกรรมการตัดสินเทศกาลหนังเมืองคานส์ถือเป็นเกียรติ ประวัติที่ยิ่งใหญ่ แต่มันไม่ใช่ของผมคนเดียว หากแต่เป็นของชาวจีนทั่วโลก และเป็นเกียรติยศของวงการภาพยนตร์เอเชียด้วย
        สองทศวรรษที่ผ่านมา หว่องกาไว หรือ หวังเจียเว่ย  ค่อยๆ ไต่บันไดขึ้นมาอย่างมั่นคงทีละขั้นๆ จนได้เป็นชาวจีนคนแรกที่ได้นั่งหัวโต๊ะคณะกรรมการตัดสินรางวัลเทศกาลหนัง ประจำแดนน้ำหอม ที่เหมือนตราประทับรับรองคุณภาพหนังดีอีกหนึ่งเวทีของซีกโลกตะวันตก
       ความปรารถนาสูงสุดของด.ช.หว่องกาไวคือการได้เข้าเรียนในสถาบันภาพยนตร์ เพราะจะได้ดูหนังดีดีทุกวัน ทว่ากว่าฝันนี้จะเป็นจริงได้ ก็ปาเข้าไปหลังเขาเรียนจบสาขากราฟฟิกดีไซน์ จากวิทยาลัยโปลีเทคนิคฮ่องกง แล้วได้เข้าอบรมวิชาผลิตภาพยนตร์และเขียนบทกับทางสถานีโทรทัศน์ฮ่องกง (TVB)
       หว่องเล่าว่าตอนนั้นเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่สุด จินตนาการของเขาวิ่งเล่นเริ่งร่าทุกวัน ถ้าบังเอิญได้พบเจอสาวงามที่ไหน เขาจะไม่รีรอที่จะชวนเธอว่า เรามาถ่ายหนังกันเถอะ !หว่องตอบตัวเองได้ทันทีว่าหลงรักงานทำหนังเข้าแล้วเต็มเปา พร้อมเปิดฉากชีวิตวงการมายาด้วยงานผู้ช่วยฝ่ายผลิตและเขียนบทละครโทรทัศน์ ให้กับทีวีบีนาน 2 ปี
       หลังจากนั้นหว่องได้ก้าวเข้าสู่โลกภาพยนตร์ ช่วงปี 1982-1987 เขาเขียนบทภาพยนตร์ถึง 10 เรื่อง จนมีผลงานกำกับหนังเรื่องแรกออกมาตอนอายุขึ้นเลข 3 กับ As Tears Go By  ที่สะท้อนสังคมมาเฟียฮ่องกงซึ่งนอกจากโดนใจคนดูในบ้านแล้ว ยังโกอินเตอร์ทันทีไปฉายในงานเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 1989
       เรื่องต่อมา Days of Being Wild  ว่าด้วยชีวิตวัยรุ่นไร้จุดหมายในยุค 1960 ที่รวบรวมดาราดังแห่งยุคไว้คับคั่ง ถือเป็นจุดเริ่มต้นหนังเอกลักษณ์สไตล์หว่อง ซึ่งคว้ารางวัลตุ๊กตาทองฮ่องกงไปถึง 5 รางวัล อันรวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมด้วย
        หลังจากนั้นเขาได้ใช้เวลาอีกสองปีเนรมิตรวรรณกรรมของกิมย้งให้เป็นหนังกำลัง ภายในแนวดรามาเรื่อง Ashes of Time ซึ่งได้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิซปีเดียวกัน
       หว่องใช้เวลาเพียงสองเดือน ระหว่างงานขั้นตอนหลังการถ่ายทำ Ashes of Time กำกับเรื่อง Chungking Express  ตามติดด้วย Fallen Angels  ซึ่งได้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ที่โตรอนโต้ในปีนั้น
       ปีที่ฮ่องกงกลับคืนสู่อ้อมอกแผ่นดินแม่ หว่องได้ส่งหนังท้าท้ายแห่งยุคว่าด้วยชีวิตเกย์เรื่อง Happy Together  ที่ได้เลสลี่จางและเหลียงเฉาเหว่ยมาแสดง ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาพร้อมได้เปิดตัวในงานเทศกาลหนังเมืองคานส์ และสร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้กำกับจีนคนแรกที่ได้รับรางวัลผู้กำกับยอด เยี่ยมจากเวทีนี้
ประสบการณ์งานเขียนบทเกือบ 10 ปีของหว่อง ถือเป็นฐานรากที่แข็งแกร่งให้กับงานกำกับภาพยนตร์ และทำให้เขาสร้างหนังได้เป็นเอกลักษณ์ยากจะลอกเลียนแบบได้
       หนังของ พ่อครัวหว่องถูกปรุงด้วยส่วนผสมของภาพ เสียง ดนตรี และคำพูด ที่อาจสร้างความคลุมเครือให้คนดู แต่ก็วิจิตรอยู่ในตัวอย่างยากอธิบาย เพื่อถ่ายทอดภาระแห่งความทรงจำอันโศกซึ้ง ด้วยบุคลิกของตัวละครที่แปลกแยก
       ‘พ่อครัวหว่องยังมักซ้อนรหัสตัวเลขไว้ในหนัง ตั้งแต่วันที่ นาฬิกา เพจเจอร์ วิทยุ ตู้เพลง สัปปะรดกระป๋อง หรือแม้แต่สลัด ฉากหนึ่งในเรื่อง Fallen Angels ‘หลีหมิงทิ้งเหรียญ 5 ไว้ให้หลี่เจียซิน แล้วฝากบ๋อยไปบอกเธอว่าหมายเลขนำโชคคือ 1818 ซึ่งความจริงแล้ว 1818 เป็นรหัสของเพลงหนึ่งในตู้เพลง ที่มีชื่อว่า ให้ลืมเขาส่วนห้องพักที่เหลียงเฉาเหว่ยนัดเจอกับจางมั่นอี้ว์ในเรื่อง In The mood of love คือห้อง 2046 
       แฟนหนังของหว่องอาจจะสังเกตเห็นว่า หนังของเขาเต็มไปด้วยฉากสลัวๆ ในเวลากลางคืน เรื่องนี้จะว่าจงใจก็ไม่เชิง เพราะเหตุผลคือช่วงกลางวันของหว่องมักหมดไปกับงานเขียนบท แก้บท และถ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
       ผู้กำกับหัวก้าวหน้าจากฮ่องกงคนนี้ยังเคยบอกว่า เขาไม่ชอบให้คนดูเดาเนื้อเรื่องที่จะเกิดต่อไปได้ ดังนั้น เขาจะไม่เข้าไปบังคับกะเกณฑ์เค้าโครงของหนัง แต่จะปล่อยให้โครงสร้างแต่ละส่วนทำงานไปตามธรรมชาติ ซึ่งกลับกลายเป็นเอกลักษณ์หนังสไตล์หว่องอีกอย่าง
          ดาราแต่ละคนที่เคยร่วมงานกับหว่อง ก่อนที่จะได้ดูหนังทั้งเรื่อง จะไม่มีทางรู้เลยว่าหนังจะจบลงอย่างไร เพราะว่าหว่องจะถ่ายฟิล์มเก็บไว้เป็นตั้งๆ ส่วนหนังจะพัฒนาเนื้อเรื่องไปอย่างไรนั้น มีเพียงผู้กำกับและคนตัดต่อเท่านั้นที่จะล่วงรู้ ซึ่งบางครั้งทำให้หนังเรื่องเดียวกัน แต่อาจมีหลายเวอร์ชัน
           บรรดานักแสดงชื่อดังทั้งหลายถึงกับยอมลดค่าตัว เพื่อจะได้ร่วมงานกับผกก.หว่อง และยังเต็มใจแสดงโดยไม่ตั้งคำถามกับเขาจินเฉิงอู่ หรือ ทาเคชิ คาเนชิโร่แม้จะตากแดดอยู่กลางแจ้งเป็นวันๆ โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ากำลังแสดงอะไรอยู่ในเรื่อง Fallen Angels แต่เขาก็ทุ่มเทแรงกายเล่นอย่างสุดฝีมือ
          ถึงกระนั้น ผกก.หว่องก็รู้ตัวดีว่า ด้วยความที่เป็นพวกตั้งมาตรฐานหนังไว้สูงลิ่ว ทำให้ดาราจำนวนมากไม่ชอบร่วมงานกับตนหนังแต่ละเรื่องของผมต้องใช้เวลาถ่ายนานมาก เพราะผมชอบถ่ายไปแก้ไป ที่สำคัญตอนตัดต่อ ตัดไปตัดมา ยังตัดบางคนทิ้งไปอีก
         หว่องกาไวกล่าวถึง เหลียงเฉาเหว่ยที่ได้ชื่อว่าเป็น ดาราคู่บารมีของตนเองว่า เหลียงเป็นคนที่มีบุคลิกเฉพาะตัว และเล่นได้ทุกบทบาท จะว่าไปแล้วก็เหมือน ฟองน้ำที่สามารถดูดซับอะไรไว้ได้มากมาย และสามารถคลายออกมาได้หมดจด
           ส่วน ตู้เข่อเฟิงขุนพลช่างภาพคู่ทุกข์คู่ยาก กลับถูกผกก.หว่องแซวว่าชอบทำเป็นเล่นเหมือนคนบ้า แต่กลับถ่ายหนังออกมาได้ดีถูกใจแม้ไม่ต้องบอกอะไรเลย
          จุดเด่นอีกอย่างของหนังยี่ห้อหว่องกาไว ยังอยู่ที่ บทสนทนาของตัวละคร ที่ทำหน้าที่สาธยายแก่นแท้ของชีวิตคนดู เพราะแท้จริงแล้ว การพูดคุยโต้ตอบถือเป็นการสื่อสารขั้นพื้นฐานระหว่างมนุษย์นั่นเอง
ผู้กำกับวัย 48 ที่มีพรสวรรค์สูงสุดคนหนึ่งในเอเชียยังยอมรับว่า ทุกวันนี้การทำหนังต้องคำนึกถึงเรื่องตลาด และต้องอาศัยรสนิยมทางหนังหลายหลายสไตล์ไปสร้างความคุ้นเคยให้แก่คนดูที่แตก ต่างกัน ทว่าบ่อยครั้งเขาก็ยึดตามรสนิยมของตัวเอง
          อย่างเหตุที่เลือกให้เรื่อง In The Mood for Love มีเซี่ยงไฮ้ยุคทศวรรษ 1960 เป็นฉากหลัง ก็เพื่อรำลึกถึงบ้านเกิดเมืองนอนที่เขาต้องอพยพจากไปตั้งแต่วัยเพียง 5 ขวบเมื่อปี 1962 หว่องจึงคิดจะถ่ายทอดคืนวันเก่าๆ เหล่านั้นออกมาเป็นภาพยนตร์
         แต่แล้วมันกลับโดนใจหลายคนเข้าอย่างจัง อาจเป็นเพราะมันคือหนังที่สะท้อนแง่งามของยุคสมัยที่มีแต่เสียงระเบิดและดิน ปืนของไฟสงคราม จน In The Mood for Love ได้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2000 และได้รางวัล Grand Prix Technique (เป็นรางวัลพิเศษสำหรับกำกับภาพและลำดับภาพยอดเยี่ยม) กลับบ้านไป พร้อมส่งเหลียงเฉาเหว่ยคว้ารางวัลดาราแสดงนำชายยอดเยี่ยมด้วยนั้น
           ถ้าบังเอิญคุณเป็นคนหนึ่งที่ดูหนังหลายเรื่องของหว่องแล้วยังไม่สามารถ บรรยายความรู้สึกออกมาได้ นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหว่องเฉลยว่า
         “หนังที่ดีมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับรสสัมผัส ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด หากคุณต้องการเพียงแค่เรื่องอย่างเดียวก็สามารถอ่านหนังสือได้ หากคุณต้องการเพียงแค่ภาพก็สามารถถ่ายภาพได้ แต่ว่าหนังนั้นเปรียบได้กับอาหารจานหนึ่ง ที่เมื่อคุณทานแล้วรู้สึกดีโดยที่ไม่รู้ว่ามันปรุงอย่างไร และไม่สามารถบรรยายออกมาได้
         ภายหลังงานประธานคณะกรรมการตัดสินรางวัลปาล์มทองคำปีนี้ปิดม่านลง นั่นหมายถึงกองถ่ายทำหนังฝรั่งเรื่องแรกของหว่องกาไว My Blueberry Nights กำลังจะเดินเครื่องขึ้น ซึ่งแม้หลายคนจะกังวลว่า เมื่อเข้าสู่โลกฮอลลิวูดแล้ว หว่องอาจจะสูญเสียเอกลักษณ์หนังแบบฉบับของตัวเองไป แต่เจ้าตัวกลับเสียงเข้มว่า แม้จะอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แต่ผมก็ยังเป็นผม ผมจะไม่มีวันให้มายาฮอลลิวูดมีอิทธิพลเหนือตัวผม !

สตูดิโอจิบลิ

สตูดิโอจิบลิ หรือในชื่อภาษาอังกฤษ Studio Ghibli Inc. เป็นสตูดิโอภาพยนตร์อะนิเมะของประเทศญี่ปุ่น เคยเป็นส่วนหนึ่งของ โทคุมะ โชเท็น ภาพยนตร์อะนิเมะของสตูดิโอนี้ เต็มไปด้วยจินตนาการ เข้าถึงอารมณ์ และได้รับความชื่นชมไปทั่วโลก ชื่อ จิบลิ มาจากเครื่องบินตรวจการณ์ของประเทศอิตาลีที่ใช้ในทะเลทรายซาฮารา ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง คำนี้มีที่มาจากคำในภาษาลีเบียนที่แปลว่า "ลมร้อนที่พัดผ่านทะเลทรายซาฮารา" เปรียบได้กับ สตูดิโอที่พัดเอากระแสลมลูกใหม่ผ่านมายังอุตสาหกรรมอะนิเมะของญี่ปุ่น โลโก้ของบริษัทจะมีแคแรคเตอร์ "โต๊ะโตะโระ" จากภาพยนตร์เรื่อง โทโทโร่เพื่อนรัก ประกอบอยู่ด้วย
ประวัติ
ก่อตั้งในค.ศ. 1985 โดยผู้กำกับอย่างฮะยะโอะ มิยะซะกิ ร่วมกับผู้เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและพี่เลี้ยงอย่างอิซาโอะ ทาคาฮาตะ และ ผู้จัดการฝ่ายบริหารและผู้อำนวยการสร้างที่มีผลงานมายาวนานอย่าง โทชิโอะ ซูซึกิ จุดเริ่มต้นทั้งหมดต้องย้อนไปปี ค.ศ. 1983 ภาพยนตร์เรื่อง Nausicaä of the Valley of the Wind ซึ่งได้รับความนิยมจากมังงะที่ตีพิมพ์ต่อเนื่องในนิตยสารอะนิเมจ (Animage) ของ โทคุมะ โชเท็น หลังจากบทดั้งเดิมถูกปฏิเสธ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการอำนวยการสร้างโดย ท็อปคราฟต์ (Topcraft) และความสำเร็จของภาพยนตร์กระตุ้นให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มจิบลิ โทคุมะเป็นบริษัทแม่ของสตูดิโอจิบลิ และให้ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์กับ ดิสนีย์ ในการจัดจำหน่ายทั่วโลกถึง 8 เรื่องด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Princess Mononoke หรือ Spirited Away ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของมิยะซะกิ Howl's Moving Castle นำเค้าโครงเรื่องมาจากหนังสือของนักเขียนชาวอังกฤษ ชื่อ Diana Wynne Jones ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในหลายๆ ประเทศ รวมทั้ง แคนาดา และสหรัฐอเมริกา นักประพันธ์เพลงอย่าง โจ ฮิไซชิ จะเป็นผู้แต่งเพลงประกอบให้กับภาพยนตร์ในสตูดิโอจิบลิของมิยะซะกิทุกๆ เรื่อง
ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการชื่นชมมากที่สุดของสตูดิโอ ไม่ได้กำกับโดยมิยะซะกิ คือ สุสานหิ่งห้อย แต่กำกับโดย อิซาโอะ ทาคาฮาตะ ภาพยนตร์โศกนาฏกรรมของสองชีวิตกำพร้าในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองในญี่ปุ่น
หลายปีที่ผ่านมา มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างสตูดิโอจิบลิและนิตยสารอนิเมจ ดังจะได้พบได้จากบทความในเซ็คชั่นที่ชื่อ "Ghibli Notes" อาร์ตเวิร์กจากภาพยนตร์ต่างๆ และงานอื่นๆ ของจิบลิมักจะได้ลงเป็นภาพปกของนิตยสารอยู่เสมอๆ
จิบลิมักเป็นที่รู้จักดีในนโยบาย "no-edits" ในสัญญาอนุญาตฉายภาพยนตร์ของพวกเขาในต่างประเทศ ต้นตอก็มาจากการอัดเสียงเพิ่มเติมอย่างเสียๆ หายๆ ในภาพยนตร์เรื่อง Nausicaä of the Valley of Wind ของมิยะซะกิ เมื่อครั้งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เข้าฉายในสหรัฐอเมริกา (มันถูกตัดต่อและใส่ความเป็นอเมริกันเข้าไป) ดังนั้น สัญญาการให้ลิขสิทธิ์ของ Princess Mononoke มิยะซะกิจะขีดเส้นใต้นโยบาย "no-editing" ไปในเอกสารทุกฉบับ
ผลงานภาพยนตร์
Panda Kopanda (1972,ก่อนก่อตั้ง สตูดิโอจิบลิ) กำกับโดย อิซาโอะ ทาคาฮาตะ
Gauche the Cellist (Sero Hiki no Goshu)(1982,ก่อนก่อตั้ง สตูดิโอจิบลิ) กำกับโดย อิซาโอะ ทาคาฮาตะ
Nausicaä มหาสงคราม หุบเขาแห่งสายลม (1984,ก่อนก่อตั้ง สตูดิโอจิบลิ) กำกับโดย ฮะยะโอะ มิยะซะกิ
ลาพิวต้า พลิกตำนานเหนือเวหา (1986) กำกับโดย ฮะยะโอะ มิยะซะกิ
สุสานหิ่งห้อย (1988) กำกับโดย อิซาโอะ ทาคาฮาตะ
โทโทโร่เพื่อนรัก (1988) กำกับโดย อิซาโอะ ทาคาฮาตะ
แม่มดน้อยกิกิ (1989) กำกับโดย ฮะยะโอะ มิยะซะกิ
ในความทรงจำที่ไม่มีวันจาง (1991) กำกับโดย อิซาโอะ ทาคาฮาตะ
พอร์โค รอสโซ สลัดอากาศประจัญบาน (1992) กำกับโดย ฮะยะโอะ มิยะซะกิ
Ocean Waves (1993)
ปอมโปโกะ ทานูกิป่วนโลก (1994) กำกับโดย อิซาโอะ ทาคาฮาตะ
วันนั้น..วันไหน หัวใจจะเป็นสีชมพู (1995) กำกับโดย โยชิฟูมิ คอนโดะ
โมะโนะโนะเกะฮิเมะ (1997) กำกับโดย ฮะยะโอะ มิยะซะกิ
ยามาดะ ครอบครัวนี้ไม่ธรรมดา (1999) กำกับโดย อิซาโอะ ทาคาฮาตะ
Spirited Away (2001) กำกับโดย ฮะยะโอะ มิยะซะกิ
The Cat Returns (2002) (ภาคต่อของ Whisper of the Heart)
Howl's Moving Castle (2004) กำกับโดย ฮะยะโอะ มิยะซะกิ
ศึกเทพมังกรพิภพสมุทร (2006) กำกับโดย โกโร่ มิยะซะกิ
Ponyo On a Cliff (2008) กำกับโดย ฮะยะโอะ มิยะซะกิ
The Borrower Arrietty(2010) กำกับโดย ฮิโรมาซะ โยเนบายาชิ
Kokurikozaka kara(2011) กำกับโดย โกโร่ มิยะซะกิ เข้าฉายในวันที่ 16 กรกฎาคม 2554 (2011)
The Tale of the Bamboo Cutter กำกับโดย อิซาโอะ ทาคาฮาตะ
ภาพยนตร์สั้น
Sora Iro no Tane (1992) (ภาพยนตร์สั้น ออกอากาศทางโทรทัศน์)
Nandarou (1992) (ภาพยนตร์สั้น ออกอากาศทางโทรทัศน์)
On Your Mark (1995) กำกับโดย ฮะยะโอะ มิยะซะกิ
Ghiblies (2000) (ภาพยนตร์สั้น ออกอากาศทางโทรทัศน์)
Ghiblies Episode 2 (2002) (ฉายในโรงพร้อม The Cat Returns)
Kusoh no Kikai-tachi no Naka no Hakai no Hatsumei (The Invention of Destruction in the Imaginary Machines) (2002) (จัดฉายที่ Ghibli Museum)
Koro no Daisanpo (Koro's Big Day Out) (2003) (ภาพยนตร์สั้น 3 เรื่องแรกที่จัดฉายที่ Ghibli Museum ในปี ค.ศ. 2003)
Kujiratori (The Whale Hunt) (2003)
Mei to Konekobasu (Mei and the Kittenbus) (2003)
Yadosagashi (Looking for a Home) (2005) (ภาพยนตร์สั้น 3 เรื่องแรกที่จัดฉายที่ Ghibli Museum ในปี ค.ศ. 2006)
Hoshi wo Katta Hi (The Day I Cropped/Harvested a Star) (2005)
Mizugumo Monmon (Water Spider Monmon) (2005)
The Night of Taneyamagahara (2006)
ผลงานอื่นๆ
ผลงานที่ไม่สามารถจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ข้างต้นได้
Nandarou (1992) ภาพยนตร์โฆษณาสำหรับ NHK
Umacha (2001) ภาพยนตร์โฆษณา
Lasseter-san, Arigatou (2003) วิดีโอขอบคุณ ที่จัดทำโดย John Lasseter
นอกจากนี้สตูดิโอจิบลิยังมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับภาพยนตร์ของตัวเอง ชื่อว่า Ghibli Museum อีกด้วย

อากิระ คุโรซาว่า (Akira Kurosawa)

อากิระ คุโรซาว่า (Akira Kurosawa) เป็นทั้งผู้กำกับชาวญี่ปุ่น ,โปรดิวเซอร์ และผู้เขียนบทภาพยนตร์ กำกับและเขียนบทหนังเรื่องแรกชื่อ Sugata Sanshiro ฉายในปี 1943 หนังเรื่องสุดท้ายของเขา Madadayo ในปี 1993 คุโรซาว่าเป็นผู้กำกับได้รับรางวัลด้านภาพยนตร์มากมาย และยังได้รับรางวัล Oscar for Lifetime Achievement หนังของคุโรซาว่ามีอิทธิพลต่อผู้กำกับรุ่นต่อๆมาอย่างมาก
หากอากิระ คุโรซาวา ผู้กำกับระดับตำนานชาวญี่ปุ่นยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ เขาจะมีอายุร่วม 101 ปี (เกิด 23 มีนาคม 1910) ผลงานกำกับและเขียนบทภาพยนตร์จำนวน 30 เรื่อง ในช่วงเวลา 57 ปี มีอิทธิพลและเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้กำกับในยุคต่อมาไม่ว่าจะเป็นโรเบิร์ต อัลต์แมน, ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา หรือสตีเวน สปีลเบิร์ก คุโรซาวา เริ่มทำงานจากการเป็นผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์ก่อนในปี 1936 แล้วถึงได้มากำกับภาพยนตร์เรื่องแรก JUDO SAGA (1943) เรื่องราวตำนานกีฬายูโดในญี่ปุ่น ปี 1948 เขาเป็นผู้ให้โอกาส โตชิโร มิฟูเน ดาราหนุ่มที่ไม่มีใครรู้จักมาแสดงในภาพยนตร์เรื่อง DRUNKEL ANGEL (1948) เรื่องราวสังคมความวุ่นวายและตลาดมืดในญี่ปุ่นหลังจากที่ญี่ปุ่นแพ้สงคราม ใหม่ๆ และจากภาพยนตร์เรื่องนี้เองที่ทำให้โตชิโร มิฟูเน กลับมาแสดงภาพยนตร์กับคุโรซาวาอีก 14 เรื่อง หากแต่ว่าภาพยนตร์ทึ่จุดประกายให้คุโรซาวา กับโตชิโร มิฟูเน เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกได้แก่เรื่อง ราโชมอน (1950) ซึ่งได้รับรางวัลสิงห์โตทองคำในเทศกาลภาพยนตร์เวนิซ เป็นผลให้ราโชมอนได้รับการจัดจำหน่ายไปทั่วอเมริกาและยุโรป แต่ที่กลายเป็นภาพยนตร์สัญลักษณ์ประจำตัวคุโรซาวาและมิฟูเน ได้แก่ภาพยนตร์เรื่องเจ็ดเซียนซามูไร (1954) เรื่องราวของชาวบ้านในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง เดือดร้อนจากการถูกรีดไถโดยกลุ่มโจร จนต้องตัดสินใจตามซามูไร 7 คนมาช่วยสู้รบขับไล่จนได้ชัยชนะ ภาพยนตร์สะท้อนถึงวิถีชีวิตและแนวคิดของชนชั้นล่าง ผู้ไม่ได้รับการศึกษา ผู้ยากไร้ ซึ่งแตกต่างกับวิถีชีวิตของซามูไร ภาพยนตร์ตีแผ่ถึงอารมณ์ ความกลัว ความเสียสละ ความไม่ไว้วางใจ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เจ็ดเซียนซามูไรประสบความสำเร็จไปทั่วโลกจนฮอลลีวู้ดนำไปดัดแปลง สร้างเป็นภาพยนตร์คาวบอยตะวันตก เรื่องเจ็ดสิงห์แดนเสือ (1960) สร้างชื่อให้กับยูล บรินเนอร์ และดาราคนอื่น อาทิ สตีฟ แมคควีน, ชาร์ลส์ บรอนสัน และเจมส์ โคเบิร์น สำหรับบ้านเราเจ็ดเซียนซามูไรเข้าฉายที่โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงและเฉลิม บุรีรอบกาลาพรีเมียร์ ในคืนวันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม 1958 สี่ปีหลังจากเจ็ดเซียนซามูไรฉายครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น แถมยังมีการตัดทอนอยู่หลายฉาก เพื่อให้ประหยัดเวลาจะได้มีรอบฉายมากขึ้น จากความยาวจริง 207 นาที
     หลังจากเจ็ดเซียนซามูไรสร้างชื่อให้กับอากิระ คุโรซาวา เขาหันมาสร้างภาพยนตร์ซามูไรอีกหลายเรื่อง อาทิ โยยิมโบ (1961) ภายหลังผู้กำกับเซอร์จิโอ เลโอเน นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง A FISTFUL OF DOLLARS (มือปืนเพชรตัดเพชร), SANJURO (1962), KAGEMUSHA (1980), RAN (1985)
     ภาพยนตร์แนวดราม่าสะท้อนถึงธาตุแท้ความเป็นมนุษย์ เป็นภาพยนตร์อีกประเภทหนึ่งที่อากิระ คุโรซาวา ถนัด อาทิ IKIRU (1952) เรื่องราวของลูกจ้างเทศบาลคนหนึ่งทำงานขยันขันแข็งตลอด 30 ปี ไม่เคยหยุดงานแม้แต่วันเดียว แต่เมื่อรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งที่กระเพาะเหลือเวลาไม่นาน เขาเริ่มใช้ชีวิตอุทิศตนเพื่อสังคม ONE WONDERFUL SUNDAY (1943) ถ่ายทอดชีวิตคู่รักยากจนคู่หนึ่ง หลังญี่ปุ่นแพ้สงครามทุกอย่างเต็มไปด้วยความหดหู่ แต่เขากลับปรับเปลี่ยนมุมมอง มองโลกในแง่ดีและยึดความคิดแบบเสรี, RED BEARD (1965) เรื่องราวความสัมพันธ์ของหมอใหญ่แผนโบราณในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งกับหมอฝึกหัด หมอใหญ่คนนี้ผู้คนเรียกเขาว่า เคราแดง อุทิศตนรักษาคนจนโดยไม่เก็บค่ารักษา
 

ที่มาข้อมูล :

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

9 Songs ทำนองรัก จังหวะใคร่


9 Songs ทำนองรัก จังหวะใคร่
ฉากเปลือยกับหนังยุโรปไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมต่อกัน การปรากฏฉากสังวาสในหนังศิลปะก็นับว่าอยู่ภายใต้บริบทที่คนส่วนใหญ่ยอมรับ
กระนั้น ไม่ว่าหญิงและชายจะเปิดเผยร่างกายตนเองมากแค่ไหน หรือฉากเซ็กซ์จะชัดแจ้งจริงจังเพียงใด ด้วยท่วงท่าพันลึกอย่างไร เงื่อนไขหนึ่งซึ่งผู้สร้างหนังจะไม่ก้าวข้ามไปคือ การ "ล่วงล้ำ" จริงผ่านจอ จนเกินกว่ามายาของการแสดง
ปี 2000 Baise-moi หนังฝรั่งเศสที่ถูกโฆษณาเกินจริงว่าเป็น Thelma & Louise ฉบับดิบเถื่อน ได้ก้าวข้ามเงื่อนไขดังกล่าว ด้วยการให้ผู้แสดงมีอะไรกันจริงๆ
แม้หนังจะสวมเสื้อหนังยุโรปอยู่ เต็มคราบ อาศัยเกาะกลุ่มหนังอาร์ตไปฉายในเทศกาลหนังหลายแห่งทั่วโลก แต่เสียงตอบรับจากสารทิศล้วนแต่เป็นไปในทางก่นด่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนังไม่ได้มีแค่ฉากเซ็กซ์โจ๋งครึ่มเท่านั้น ยังมีภาพความรุนแรงที่ยากจะรับได้
แต่ถึงอย่างไร Baise-moi ยังมีข้อยกเว้นให้ทำความเข้าใจได้คือ 2 สาวที่ร่วมกำกับ-เขียนบทหนังเรื่องนี้ คนหนึ่งเคยเป็นดาราหนังโป๊ ส่วนอีกคนคืออดีตโสเภณี ...เรียกว่าอดีตสะท้อนปัจจุบันก็คงได้
สำหรับ 9 Songs หนังสัญชาติอังกฤษ เป็นรายล่าสุดที่ปรากฏภาพการ "ล่วงล้ำ" จริงๆ ของผู้แสดง แม้จะมีแค่ฉากเดียว แต่ก็เป็นหนึ่งฉากท่ามกลางฉากเปลือยและฉากเซ็กซ์อื่นๆ ตลอดทั้งเรื่อง
แน่ ล่ะ เรตเอ็กซ์ หรือห้ามผู้อายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าชม เป็นเรตที่หนังต้องน้อมรับโดยดุษณี แต่คำถามคือหนังเรื่องนี้ควรจะได้รับการยอมรับอย่างไร ถูกจัดเข้ากลุ่มหนังโป๊หรือไม่ หรือถือเป็นหนังศิลปะเรื่องหนึ่ง ในเมื่อมีข้อแม้สำคัญประการหนึ่งผูกคอหนังไว้
นั่นคือ นี่เป็นผลงานของผู้กำกับหนังชื่อชั้นดีอย่าง ไมเคิล วินเทอร์บอตทอม ที่เคยมีงานระดับรางวัลหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Welcome to Sarajevo(1997) Wonderland (1999) In This World(2002) รวมทั้ง 24 Hour Party People (2002)
9 songs คือห้วงคำนึงของแมตต์ หนุ่มนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษซึ่งกำลังสำรวจธารน้ำแข็งที่ขั้วโลกใต้ สภาพหนาวเหน็บ ไร้ผู้คน นำพาความเหงาเข้าสู่จิตใจ เขาย้อนรำลึกถึงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้มีความสัมพันธ์กับลิซ่า หญิงสาวนักศึกษาวัย 21 ปี ชาวอเมริกัน
ความสัมพันธ์แนบแน่นฝังลึกใน ความทรงจำเริ่มขึ้นเมื่อทั้งสองพบกันในคอนเสิร์ตวงร็อค ก่อนจะกลับมาร่วมรักอย่างเผ็ดร้อน จากนั้นกิจวัตรของแมตต์กับลิซ่าที่เราเห็นตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน คือการร่วมรักสลับกับการไปดูคอนเสิร์ต สอดแทรกด้วยบทสนทนาไร้แก่นสารเป็นระยะ
ชื่อ 9 songs ก็คือคลิปคอนเสิร์ต 9 เพลง ที่นำมาใส่แทรกไว้ในหนัง ไล่ตามลำดับคือ 1.Whatever happened to my rock and roll ของ Black Rebel Motorcycle Club 2.C"Mon, C"Mon ของ Von Bondies 3.Fallen angel/Elbow 4.Movin" on up /Primal Scream
5.You were the last high /Dandy Warhols 6.Slow life/Super Furry Animals 7.Jacqueline /Franz Ferdinand 8.Nadia /Michael Nyman และ 9.Love burns /Black Rebel Motorcycle Club
9 คอนเสิร์ตในความทรงจำ กับ 9 เพลงที่สอดรับกับเรื่องราวระหว่างเขาและเธอ ตั้งแต่การเปลื้องเปลือยกันและกันในเพลงแรก กระชับใกล้ชิดขึ้นในเพลงที่ 4 แปลกแยกต่อกันในเพลงที่ 6 ฉลองความสัมพันธ์ในเพลงที่ 8 และจากกันในเพลงสุดท้าย
"Never thought I"d see her go away...Now she"s gone love burns inside me..." คือเนื้อเพลง Love burns เพลงสุดท้ายจากคอนเสิร์ตที่แมตต์ต้องไปดูตามลำพัง
เป็นความรักที่เผาไหม้อยู่ภายใน จนเขาต้องระหกระเหินไปดับความร้อนรุ่มด้วยอากาศหนาวเหน็บที่ขั้วโลกใต้
จาก เรื่องราวดังกล่าว ทำให้ 9 Songs มีเนื้อหา-อารมณ์แบบหนังโรแมนติค-ดราม่า เกี่ยวกับการพบและพลัดพราก ราวกับ Before Sunrise(1995) ที่บทสนทนาคมๆ ถูกแทนที่ด้วยบทอีโรติคเต็มพิกัด
ส่วนบรรยากาศโดยรวม หนังอ้างอิงที่ใกล้เคียงคือ Last Tango in Paris(1972) ว่าด้วยความสัมพันธ์ของหนุ่มใหญ่-หญิงสาวในห้องพัก โดยสามารถเทียบเคียงกันได้ตรงรูปแบบการนำเสนอภาพความสัมพันธ์ของคน 2 คน ทั้งการจัดแสง องค์ประกอบฉากสีทึบทึม จังหวะเคลื่อนไหวเนิบช้าของตัวละคร พัฒนาการความสัมพันธ์ที่ไม่คืบหน้า และบทสนทนาที่ไม่เปิดเผยตัวตนต่อกันเท่าไรนัก
หากว่ากันเฉพาะอารมณ์ โหยหาของตัวละครอันเกิดจากความสัมพันธ์ที่ต้องพลัดพราก ถือว่า 9 Songs สื่อออกมาได้ดีพอสมควร หนังใช้ฉากขั้วโลกใต้ที่เต็มไปด้วยสีขาวโพลนของหิมะอันเย็นยะเยือก ประกอบคำพูดของตัวละครเกี่ยวกับสภาพอากาศ ภูมิประเทศ แม้กระทั่งประวัติยาวนานของก้อนน้ำแข็งแห่งแอนตาร์กติก เปรียบเทียบกับความสัมพันธ์อันงดงามที่ต้องจบลงด้วยความเศร้า
ด้วยความโดดเด่นตรงจุดนี้ หากฉากรักที่ใส่ลงไปไม่โลดโผนจนเกินรับ ภาพรวมของหนังก็จัดว่าอยู่ในระดับที่ดี
แต่ เพราะฉากเซ็กซ์อันมากมายแทบไม่ทิ้งช่วง ทั้งฉากโอษฐกามของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง การหลั่งภายนอก กระทั่งภาพที่เห็นว่าผู้แสดง "ล่วงล้ำ" กันจริง ซึ่งถือว่าเป็นการนำเสนอที่เกินกว่าเหตุ ทำให้เรื่องราว-อารมณ์อันเป็นแก่นแกนหลักถูกกลบกลืนไปเสียหมด
แม้ทุกฉากที่ว่าจะถ่ายทอดอย่างงดงาม ไม่ดูอุจาดแบบหนังโป๊ แต่การเปิดเผยที่มากเกินไปได้ข้ามเส้นความเหมาะควรไปไกลแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทั้งหลายทั้งปวงนี้คือทรรศนะอันวางไว้บนบรรทัดฐาน ณ เวลาปัจจุบัน หากย้อนไปดูในอดีต วงการหนังเคยประณามแม้กระทั่งการเปิดเผยร่องอกและขาอ่อนของนักแสดง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับทุกวันนี้ ถือว่าบรรทัดฐานของหนังได้เดินทางมาไกลจากจุดนั้นมากมายนัก
ดังนั้น ปัจจุบันจะว่ากันอย่างไร เซ็กซ์ใน 9 Songs คงต้องให้อนาคตตัดสินอีกที
ที่มาข้อมูล :

9 Songs : Audio Eng
             : Sub Thai
Rip From DVD

DOWNLOAD
http://www.mediafire.com/file/ygbsub3eallaglg/9_SONGS.avi.005

เด็กอายุต่ำกว่า 18 และผู้มีศีลธรรมจัดไม่ควรดูเป็นอย่างยิ่ง

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Red Beard

 
Red Beard เคราแดง
Red Beard ดัดแปลงจากนิยายปี 1958 เรื่อง The Tales of Dr. Redbeard และได้ชื่อว่าเป็นหนังที่ประณีตพิถีพิถันสุดขั้ว ใช้เวลาเฉพาะขั้นตอนการถ่ายทำล่าช้าเนิ่นนานถึง 2 ปี เบื้องหลังของหนังกลายเป็นตำนานสะท้อนให้เห็นวิธีทำงานของคุโรซาวาอันเป็น ที่ร่ำลือ เช่น การเจาะจงให้ทีมงานสร้างฉาก ต้องเดินทางรอนแรมไปไกลในป่าลึก เพื่อค้นหาไม้เนื้อเดียวกันกับที่ใช้สร้างบ้านเรือนช่วงกลางศตวรรษที่ 19 อันเป็นยุคสมัยในหนัง, การทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ จนคุโรซาวาและนักแสดงหลัก ๆ ผลัดกันล้มป่วยครั้งเล่า
แต่เรื่องที่โด่งดังฮือฮามากก็คือ คุโรซาวา บังคับให้โตชิโร มิฟูเนไว้หนวดเคราและย้อมเป็นสีแดง ทั้ง ๆ ที่หนังถ่ายทำด้วยฟิล์มขาว-ดำ ส่งผลให้มิฟูเน ไม่สามารถรับงานแสดงอื่นได้ และกลายเป็นความขัดแย้งที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กำกับ-ดารา คู่บุญที่โด่งดังสุดคู่หนี่งในประวัติศาสตร์ของโลกภาพยนตร์ ต้องดำเนินมาถึงจุดแตกหัก หลังจากนั้นทั้งสองไม่เคยหวนกลับมาร่วมงานกันอีกเลย จวบจนต่างคนต่างล้มหายตายจาก
กระนั้นความยากลำบากระหว่างการถ่ายทำ Red Beard ก็ให้ผลลัพธ์คุ้มค่า นี่คือหนังที่มีเนื้อหาอบอุ่นอ่อนโยนมากสุดเรื่องหนึ่งของคุโรซาวา โดยเฉพาะการยืนกรานเชื่อมั่นต่อด้านดีงามในตัวมนุษย์ และถ่ายทอดออกมาได้อย่างทรงพลัง ทำให้ผู้ชมเชื่อถือคล้อยตาม รวมทั้งต้องหลั่งน้ำตา (หลายต่อหลายครั้ง) ด้วยความซาบซึ้งตรึงใจ
หนังเล่าเรื่องผ่านมุมมองของชายหนุ่มชื่อโนโบรุ ยาสึโมโต ซึ่งเพิ่งเล่าเรียนจบทางด้านการแพทย์สมัยใหม่ของตะวันตก และตั้งเป้าหมายเส้นทางอาชีพไว้ว่า จะต้องก้าวรุดไปสู่ตำแหน่งหมอประจำตัวขุนนางชั้นสูง แต่แล้วเหตุการณ์ก็พลิกผัน เมื่อชายหนุ่มถูกส่งตัวไปฝึกหัดเรียนรู้งานในสถานพยาบาลสำหรับชาวบ้านผู้ยาก ไร้อนาถา ท่ามกลางบรรยากาศเสื่อมโทรม สกปรก เหม็นเน่า ห้อมล้อมด้วยอาการป่วยไข้และความตาย
ซ้ำร้ายกว่านั้น สถานพยาบาลดังกล่าวยังอยู่ใต้การควบคุมดูแลของหมอเคียวจิโอะ นิอิเดะ หรือที่ทุกคนเรียกขานด้วยฉายา เคราแดงซึ่งมีท่าทีภายนอกดุดัน เจ้าโทสะ และเข้มงวดต่อลูกน้องจนเป็นที่ร่ำลือกันว่า มีนิสัยเผด็จการบ้าอำนาจ
ยาสึโมโตแสดงท่าทีต่อต้าน ด้วยการละเมิดกฎระเบียบทุกข้อ เพิกเฉยไม่ยอมรักษาคนไข้ ดื่มสุรา ล่วงล้ำเข้าเขตหวงห้าม รวมทั้งปฏิเสธการสวมเครื่องแบบหมอ ทั้งหมดนี้เพื่อยั่วยุให้เกิดการขับไล่เขาออกจากสถานพยาบาล ทว่าท่านเคราแดงก็หยั่งรู้ถึงเจตนา และตอบสนองด้วยอาการสงบนิ่ง
จุดใหญ่ใจความของหนัง กล่าวถึงการเรียนรู้ทำความเข้าใจชีวิตของยาสึโมโต จากแรกเริ่มที่เป็นชายหนุ่มอ่อนโลก เห็นแก่ตัว ทำทุกสิ่งเพื่อตนเอง เรื่องราวชีวิตรันทดของบรรดาคนไข้จำนวนหนึ่ง, การทำงานหนักเหล่าแม่ครัวและหมอฝึกหัดในสถานพยาบาล ตลอดจนการประพฤติตนเป็นแบบอย่างอุทิศตนเสียสละใหญ่หลวงเพื่อผู้อื่นของท่าน เคราแดง ชายหนุ่มก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงเป็นตรงกันข้ามในท้ายที่สุด เขาได้เรียนรู้ถึงความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ แง่งามในชีวิตอันยากไร้ การดำรงตนอย่างมีคุณค่าความหมาย เหนือสิ่งอื่นใดคือ ทัศนคติที่ว่า ความสุขแท้จริงนั้น ไม่ใช่ความเพียบพร้อมมั่งคั่งทางด้านการเงิน แต่เกิดจากการอุทิศตนเพื่อผู้อื่นที่เดือดร้อนกว่า
ความน่าทึ่งของ Red Beard ก็คือ การค่อย ๆ แสดงภาพความเปลี่ยนแปลงของหมอยาสึโมโตทีละน้อยจนคืบหน้าไปสู่ภาวะเกิดใหม่ทางจิตวิญญาณอย่างแนบเนียนแยบยล


Red Beard : Audio Jap
                  :Sub Thai
Rip From DVD

DOWNLOAD

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เถียน มี มี่ 3650 วันรักเธอคนเดียว

เถียน มี มี่ 3650 วันรักเธอคนเดียว
เถียน มี มี่ 3650 วันรักเธอคนเดียว ( Comrades: Almost a Love Story) เป็นภาพยนตร์จีนรักโรแมนติกนำแสดงโดย หลี่หมิง (Leon Lai) และ จางม่านอวี้ (Maggie Cheung) โดยที่พระเอกต้องพลัดพรากจากคนรักถึง 10 ปี กว่าจะสมหวังในรัก กำกับโดย ปีเตอร์ ชาน มีเพลงประกอบที่ไพเราะจากเติ้ง ลี่จวิน
ในช่วงที่จีนแผ่นดินใหญ่ข้าวยากหมากแพง "หลี่เสี่ยวจิน" (หลี่หมิง) และ "หลี่เฉียว" (จางม่านอวี้) ต่างหวังที่จะมาขุดทองที่ฮ่องกง เขามาฮ่องกงเพื่อเก็บหอมรอมริบเพื่อจะได้พาแฟน "เสี่ยวถิง" ที่อยู่เมืองจีนมาแต่งงานกันที่ฮ่องกง แต่โชคชะตากลับเล่นตลกเมื่อเขาได้พบกับหลี่เฉียวที่ร้านแมคโดนัลด์ ผู้หญิงคนนี้ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป
ด้วยความเหงา ความรับแอบก่อตัวขึ้นจากภายในส่วนลึกของทั้งคู่ จนสุดท้ายหลี่เสี่ยวจินตั้งตัวได้และพาแฟนมาแต่งงานกันที่ฮ่องกง แต่ชะตาฟ้าลิขิตในที่สุดหลี่เสี่ยวจินต้องหย่าและย้ายไปอยู่อเมริกา ส่วนหลี่เฉียวพบรักใหม่และหนีตามแฟนซึ่งเป็นมาเฟียมาอยู่อเมริกา จนคู่รักของหลี่เฉียวตาย โชคชะตานำพาทั้งคู่มาพบกันอีกครั้ง บนเส้นทางรักที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงตลอด 3,650 วันที่ผ่านมา
รางวัล
รางวัลภาพยนตร์ฮ่องกงครั้งที่ 16
ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ผู้กำกับยอดเยี่ยม - ปีเตอร์ ชาน
นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม - Maggie Cheung Man-Yuk
สมทบชายยอดเยี่ยม - Eric Tsang Chi-Wai
ลำดับภาพยอดเยี่ยม - Ivy Ho
Best Cinematography - Jingle Ma Chor-Sing
กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม - Hai Chung-Man
เครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม - Ng Lei-Lo
Best Original Music Score - Chui Jun-Fun
ได้รับเสนอรายชื่อเข้าประกวด
นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม - หลี่หมิง
Best Newcomer - Kristy Yang
รางวัลม้าทองคำ
Best Picture
Best Actres

ที่มาข้อมูล :

เถียน มี มี่ 3650 : Audio Chi
                    :Sub Thai
Rip From DVD

DOWNLOAD