วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

City of God



เรื่อง เกิดขึ้นที่สลัมชื่อ Cidade de Deus ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า City of God ในริโอเดจาเนโร สลัมแห่งนี้หาใช่เมืองสวรรค์ แต่กลับเป็นขุมนรกบนดินโดยแท้ เด็กที่นี่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรุนแรงและยาเสพติด อนาคตของพวกเขาหนีไม่พ้นการสังกัดแก๊งอันธพาลค้ายาไม่แก๊งใดก็แก๊งหนึ่ง ที่ต่อสู้ฟาดฟันแก้แค้นตายตกตามกันชนิดไม่รู้จบ โดยเด็กในสลัมจำนวนไม่น้อยต้องตายตั้งแต่ยังไม่ทันโตเต็มวัย สถานการณ์ในสลัมแห่งนี้ไม่ต่างไปจากสงครามกลางเมืองอันยืดเยื้อ เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นและดำเนินไป ถูกมองผ่านสายตาของหนึ่งในเด็กสลัมที่ใฝ่ฝันจะเป็นช่างภาพหนังสือพิมพ์  
 หนัง บราซิลเรื่องนี้ (ชื่อในภาษาโปรตุเกสว่า Cidade de Deus) ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ใน 4 สาขาสำคัญ คือการกำกับภาพ การตัดต่อภาพ การเขียนบทที่ดัดแปลงจากงานเขียน และผู้กำกับยอดเยี่ยม หนังเรื่องนี้น่าดูมากๆ เรื่องหนึ่งทีเดียว ขอแนะนำให้ใครที่หัวใจไม่อ่อนไหวลองหามาชมกัน City of God แห่งนี้ไม่ใช่เมืองสวรรค์ แต่เป็นชื่อสลัมในริโอ เดอ จาเนโร ที่อุดมไปด้วยนักเลง อาชญากรรม และยาเสพติด นครแห่งพระเป็นเจ้าที่นี้กำเนิดจากโครงการบ้านพักอาศัยที่สร้างเมื่อสี่ สิบกว่าปีก่อน และกลายเป็นพื้นที่อันตรายที่สุดในเวลาต่อมา หนังเรื่องนี้สร้างจากหนังสือที่เขียนอิงมาจากชีวิตจริง (เรื่อง Cidade De Dios เขียนโดย Paulo Lins) เนื้อหาในหนังเรื่องนี้รุนแรงมาก ดังเห็นได้จากภาพครึ่งล่างของโปสเตอร์ที่เป็นแก๊งนักเลงวัยรุ่นถือปืนพร้อม ลุย แม้แต่เด็กตัวกระเปี๊ยกก็ควักปืนอย่างห้าวหาญ หนังเรื่องนี้เป็นหนังรุนแรงที่ไม่ได้ต้องการขายความรุนแรง ไม่ใช่หนังที่ทำให้ความรุนแรงนั้นดูมีเสน่ห์ ไม่มีการมาทำถือปืนเท่ๆ โชว์ลีลาในการยิงคนตายแบบรักษามาด ไม่ใช่หนังที่มีการกระโดดหนีจากระเบิดแบบสโลว์โมชั่น ไม่ใช่หนังที่ดูแล้วเลือดพล่าน แต่เป็นหนังที่ทำให้เราเห็นภาพความรุนแรงที่มีอยู่จริงในสังคมอย่างเมือง City of God ชีวิตในเมืองที่แวดล้อมด้วยความรุนแรงเช่นนี้จะดิ้นหนีให้รอดไปจากจุดจบ อันเสมือนเป็นชะตากรรมที่ขีดไว้แล้วได้อย่างไร ภาพในหนังและการตัดต่อทำดีมาก ฉากเปิดเรื่องนี้น่าประทับใจที่สุดเรื่องหนึ่งทีเดียว เปิดเรื่องมาก็เรียกอะดรีนาลีนให้ทำงานโดยทันที หนังพาคนดูเข้าสู่โลกของนครแห่งพระเป็นเจ้าแห่งนี้แบบไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลง และเล่าเรื่องแบบรวดเร็ว ปัง ปัง ปัง ปัง เรื่อยไปจนจบ หนังยาวแต่ไม่มีจังหวะน่าเบื่อเลย ต้องชมคนเขียนบทและผู้กำกับว่าเล่าความได้ดีเหลือเกิน การลำดับความโดยมีการย้อนความตัดสลับระหว่างอดีตและปัจจุบันในหนังเข้าใจนำ มาใช้ได้มีพลัง
City of God เป็นชื่อภาษาอังกฤษของสลัมในบราซิลที่มีชื่อว่า Cidade de Deus โดย Cidade de Deus ได้ชื่อว่าเป็นที่สถานที่ที่อันตรายที่สุดในกรุงริโอ ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา
ก่อนหน้า City of God ผู้กำกับสายเลือดบราซิลเลี่ยน เฟอร์นันโด เมเรลเลส กำกับภาพยนตร์มาเพียง 4 เรื่อง นั่นคือ Olhar Eletronico (1986) The Nutty Boyz (1998) Maids (2001) และ PalaceII (2002)
เมเรลเลส เกิดในเมือง เซาเปาโล เมืองหลวงของประเทศบราซิล และก่อนหน้าที่จะมายึดอาชีพนี้อย่างจริงจัง เขาและเพื่อนๆ ได้ร่วมกันทำภาพยนตร์ทดลองขึ้น และก็สามารถคว้ารางวัลใหญ่จาก Brazilian Film Festival มาได้ หลังจากนั้น เมเรลเลส ก็หันมายึดอาชีพโปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์อยู่นาน 9 ปี
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 เมเรลเลส ก็ตัดสินใจเปิดบริษัทภาพยนตร์ที่ใช้ชื่อว่า O2 ขึ้น และเริ่มต้นทำภาพยนตร์เรื่องแรกในปี 1986 และในปี 1997 เมเรลเลส ก็มีโอกาสได้อ่านนิยายขายดีของบราซิลที่มีชื่อว่า Cidade de Davs หรือชื่อภาษาอังกฤษที่ใช้ว่า City of God ที่ เปาโล ลินส์ เขียนขึ้นจากประสบการณ์ในวัยเด็ก
เมเรลเรส ประทับใจในหนังสือ Cidade de Davs มากจนถึงขนาดที่ตัดสินใจที่จะดัดแปลงมันเป็นภาพยนตร์ และเป็นเรื่องที่ท้าทายที่จะดัดแปลงตัวละครกว่า 350 ชีวิตในหนังสือให้มีชีวิตอยู่บนจอ
City of God ออกฉายที่บราซิลในปี 2002 และประสบความสำเร็จอย่างสูง จากนั้นก็เริ่มออกฉายตามเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ ทั่วโลก โดยเริ่มต้นที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ก่อนจะไปประสบความสำเร็จสูงสุดบนเวทีออสการ์ ด้วยการเข้าชิงถึง 4 รางวัล โดยเฉพาะการเข้าชิงในสาขากำกับการแสดงยอดเยี่ยม
นักแสดงประกอบทุกคนถูกจ้างจากสลัมในริโอเดอจาเนโร ส่วนนักแสดงบางคน อาทิ ร็อกเก็ต ที่รับบทโดย อเล็กซานเดอร์ ร้อดรีเกวซ ในชีวิตจริงก็อาศัยอยู่ใน Cidade de Deus (City of God) ด้วย
เมื่อ เน็ด หรือ มาเน กาลินฮา ฆ่าคนเป็นครั้งแรก มีบางคนใน City of God มาแสดงความยินดีกับเขา ผู้หญิงคนแรกที่มาคุยกับเขา รับบทโดยคุณแม่ของ เน็ด ในชีวิตจริง
กองถ่ายภาพยนตร์ถูกลอบยิงถึง 2 ครั้ง ในระหว่างถ่ายทำฉากที่ ร็อกเก็ต นั่งรถตระเวนส่งหนังสือพิมพ์ และฉากงานปาร์ตี้เลี้ยงส่ง เคนนี่ โดยครั้งแรกนั้นมีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงล้อระเบิดในรถที่ ร็อกเก็ต นั่ง และครั้งที่ 2 ได้มีเสียงปืนดังขึ้นต่อเนื่องกว่า 10 นัด ทำให้กองถ่ายต้องชะงักการถ่ายทำไปกว่า 2 อาทิตย์ และไม่สามารถสืบหาต้นตอของมือปืนลึกลับนี้ได้ว่ามาจากที่ใด ผู้กำกับเคยพูดไว้ครั้งหนึ่งว่า ถ้าเขารู้ถึงความอันตรายในการถ่ายทำในสลัมที่กรุงริโอเดอจาเนโร เขาคงจะไม่สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้
ผู้กำกับ เฟอร์นันโด เมเรลเลส ได้เผยให้เห็นในดีวีดีว่าฉากที่ 3 หนุ่ม ปล้นรถแก๊สนั้น เป็นการล้อเลียนละครชุดทางโทรทัศน์ Charlie''s Angels ปี 1976 ที่มีการหันปืนไปในทิศต่างๆ
เพื่อเพิ่มความตึงเครียดระหว่าง ดาดินโฮ และ มาร์เรโค ผู้ฝึกสอนการแสดง ฟาติมา โตเลโด จึงบอก เรนาโต เดอ ซัวซา ผู้รับบท มาร์เรโค ให้แกล้ง ดักลาส ซิลวา ผู้รับบท ดาดินโฮ เป็นเวลา 15 วัน ในฉากที่ มาร์เรโค ตบ ดาดินโฮ จึงทำให้ ดักลาส ร้องไห้ และบอกว่าจะไม่แสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ดังนั้นฉากนี้ที่นักแสดงรู้สึกโกรธจึงเป็นเรื่องจริง
สถานที่ถ่ายทำฉากปล้นโรงแรมเป็นโรงแรมที่มีคนทำงานอยู่จริงๆ จากการถ่ายทำฉากนี้ ทำให้มีลูกค้าบางคนร้องทุกข์กับฝ่ายบริหารว่าพวกเขาได้ยินเสียงปืนในห้อง อื่นๆ ด้วย
ฉากที่ ร็อกเก็ต ตอนเด็ก ซึ่งแสดงโดย หลุยส์ โอตาวิโอ หัวเราะพี่ชายของเขาหลังจากที่ถูกตบโดยคุณพ่อ ความจริงแล้วไม่มีอยู่ในบท แต่ หลุยส์ หยุดหัวเราะไม่ได้ ทำให้ เรนาโต เด ซัวซา ซึ่งรับบทเป็นพี่ชาย ต่อบทด้วยการบอกน้องชายว่า "ไม่ต้องมาหัวเราะเลย"
วันหนึ่งในระหว่างพักการถ่ายทำ กลุ่มเด็กๆ ซึ่งรับบทเป็นแก๊งค์เด็กในเรื่องได้เข้าไปถาม บราอูลิโอ แมนโตวานี ว่าจริงหรือเปล่าที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะจบแบบแก๊งค์เด็กยึดสลัม เมื่อได้รับคำตอบจากผู้เขียนบท พวกเด็กๆ จึงขอให้บราอูลิโอเขียนบทภาคต่อ เพื่อให้พวกเขาได้แสดงภาพยนตร์อีกครั้ง
เพื่อเตรียมฉากที่หนึ่งในแก๊งค์เด็กต้องร้องไห้เมื่อถูกยิงที่เท้า ผู้ฝึกสอนการแสดง ฟาติมา โตเลโด ซึ่งค้นพบว่าสิ่งที่เด็กกลัวคือการปวดฟัน ดังนั้นเมื่อต้องถ่ายทำฉากนี้ เธอจึงบอกเขาว่าให้นึกถึงเวลาปวดฟันเอาไว้ และเมื่อถูกยิงตรงเท้า ให้แกล้งคิดว่าอาการปวดฟันนั้นย้ายมาอยู่ที่เท้า
ฉากที่คนในแก๊งค์สวดมนต์ก่อนสู้กันระหว่างแก๊งค์ไม่ได้มีอยู่ในบท ระหว่างการถ่ายทำมีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเคยอยู่ในแก๊งค์จริงๆ ได้ถามผู้กำกับ เฟอร์นันโด เมเรลเลส ทำไมถึงไม่ได้มีการสวดมนต์เหมือนที่เขาเคยทำก่อนที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู เมเรลเลสจึงบอกให้เขาเป็นผู้นำสวดเมื่อถึงเวลาถ่ายทำฉากนั้น
ฉากที่มีศพคนเสียชีวิตมากมายนอนอยู่บนพื้นคอนกรีต อ้างอิงมาจากภาพสงครามยาเสพติดที่ถ่ายโดยช่างภาพมือรางวัล
มีทีมงานบางคนปรากฏอยู่ในฉากห้องข่าวด้วย อาทิ ผู้กำกับศิลป์ ตูเล พีค ซึ่งรับบทเป็นชายสูงอายุที่ส่งยิ้มให้กับ ร็อกเก็ต
ฉากที่ ร็อกเก็ต พูดคุยกับ มาริน่า ซึ่งรับบทโดย กราเซียล่า โมเร็ตโต ว่า "เขาไม่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน" ความจริงแล้วไม่มีอยู่ในบท แต่เป็นช่วงเวลาพักระหว่างถ่ายทำ
ฉากสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เด็กผู้ชายทำรองเท้าแตะหลุดและกลับมาเก็บมัน ไม่มีในบท แต่เป็นเหตุการณ์จริงๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ และผู้กำกับ เฟอร์นันโด เมเรลเลส เก็บมาใช้ เพราะช่วยเน้นการคงอยู่ของเด็กคนนี้ในภาพยนตร์
ตอนท้ายเรื่องที่แก๊งค์เด็กพูดถึงรายชื่อของคนที่พวกเขาต้องการฆ่า มีเด็กๆ ที่เติบโตขึ้นแล้วเป็นส่วนหนึ่งของ Comando Vermelho (CV) หรือ Red Comman ซึ่งเป็นแก๊งค์ชื่อดังที่สุดในกรุงริโอ และเป็นที่รู้กันว่า CV มีรายชื่อคนที่ต้องการฆ่าจริงๆ
ลีแอนโดร เฟอมิโน ผู้รับบท ซี อาศัยอยู่ใน City of God จริงๆ และไม่ได้มีความอยากที่จะเป็นนักแสดงเลย เขาไปทำการทดสอบบทเพื่อรักษาบริษัทของเพื่อนเอาไว้เท่านั้น
ผู้ที่รับบท เน็ด เป็นนักร้องแซมบ้าโซลในบราซิล หนึ่งในเพลงของเขาถูกใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
ภาพยนตร์ขาวดำที่เป็นผู้ประกาศข่าวกำลังพูดถึง เน็ด หรือ มาเน กาลินฮา ในเรือนจำ คือ เซอร์จิโอ แชบพีลิน ผู้ประกาศข่าวชื่อดังชาวบราซิลจริงๆ

ที่มาแหล่งข้อมูล : http://www.dvdcanfly.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=98

City of God  : Audio Spain
                           : Sub Thai

Rip From DVD

DOWNLOAD
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น