วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

The Good, the Bad, and the Ugly



The Good, the Bad, and the Ugly คือหนังปิดท้ายไตรภาค The Dollars Trilogy ไตรภาคหนังคาวบอยสปาเก็ตตี้ (Spaghetti Western เป็นคำที่ใช้เรียกหนังคาวบอยที่อำนวยการสร้างและกำกับโดยชาวอีตาลี) ของผกก. Sergio Leone (ต่อจากนี้ผมขอเรียกชื่อหนังเรื่องนี้สั้นๆว่า GB&U)
GB&U เป็นหนังที่ได้รับการยอมรับ(โดยคนดูส่วนใหญ่)ให้เป็นหนังภาคที่ดีที่สุดใน ไตรภาค และได้รับการยกย่อง(โดยคนดูส่วนใหญ่)ให้เป็นหนังคาวบอยสปาเก็ตตี้ที่ดีที่ สุดตลอดกาล(สูสีกับงานมาสเตอร์พีซอีกเรื่องของผกก. Leone เองอย่าง Once Upon a Time in the West)
และได้รับการยกย่องขึ้นไปอีก(โดยคนดูส่วน ใหญ่)ให้เป็นหนังคาวบอยที่ดีที่สุดตลอดกาล(คราวนี้นอกจากจะสูสีกับ Once Upon a Time in the West แล้ว ยังต้องสูสีกับทั้ง The Searcher, High Noon,หรือแม้กระทั่งหนังที่กำกับโดยตัว Eastwood เองอย่าง Unforgiven)
แต่ สำหรับผมนะ...ครับ GB&U คือหนังคาวบอยที่ดีที่สุดตลอดกาลอย่างไม่ต้องสงสัย(ขนาดเฮีย Quentin Tarantino ยังยกให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังสุดโปรดอันดับหนึ่งในใจพร้อมกับให้เหตุผล ว่าเพราะหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างมาในประวัติ ศาสตร์ภาพยนตร์”)
นักแสดงนำทั้งสามคนในหนังเรื่องนี้ต่างรีดความแมนในตัวมาแข่งกันแบบเต็ม ที่ ทั้ง Clint Eastwood ผู้กลับมารับบทบุรุษนิรนาม (The Man With No Name) บทบาทที่เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของเขาจากคาวบอยคนซื่อในซีรี่ส์ทางโทรทัศน์ Rawhide ไปเป็นคาวบอยขรึมเท่(และเจ้าเล่ห์)เป็นครั้งที่สามและเป็นครั้งสุดท้าย
(หลัง จากนั้น แม้จะเคารพซึ่งกันและกันมากขนาดไหน แต่คู่ผกก.-นักแสดงคู่บุญคู่นี้ (Leone กับ Eastwood) ก็ไม่ได้กลับมาร่วมงานด้วยกันอีกเลย...)
การ แสดงของปู่ Clint ใน GB&U ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการแสดงของปู่แกในหนังสองภาคก่อน...หรือหนังเรื่องอื่นๆ ของปู่แก(ไม่ว่าจะหมายถึงหนังคาวบอยหรือหนังชุดมือปราบปืนโหดก็ตาม)
ถ้า เป็นกับนักแสดงสมัยนี้ การแอ็คติ้งแบบนี้คงโดนหาว่าเล่นแข็งไม่ก็ขี้เก๊กแต่ถ้าเป็นกับปู่ Clint ผู้ที่เราเคารพรักมันคือเสน่ห์อันไม่เคยจางหาย,
Lee Van Cleef ในบท Sentenza หรือฉายาในฐานะมือปืนรับจ้างว่า Angle Eyes ...ปู่ Van Cleef กลับมาแสดงในหนังไตรภาคนี้เป็นครั้งที่สอง(ครั้งแรกคือในหนังภาคสอง For a Few Dollars More) การแสดงของปู่ Van Cleef นั้นเข้าข่ายตัวร้ายสูตรสำเร็จคือร้ายได้ ร้ายดี ไม่ต้องมีเหตุผลตามฟอร์มตัวร้ายยุคโบราณ
แต่สิ่งที่น่าชื่นชมก็ คือ...การที่ปู่ Van Cleef สามารถสลัดคราบผู้พันคนดีในหนังภาคก่อน (For a Few Dollars More) มารับบทเป็นตัวร้ายในหนังภาคนี้ได้อย่างสนิทใจ ไม่เหลือเค้าความเป็นคนดีจากภาคก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว...ไม่ชื่นชมก็คงจะไม่ ได้,
Eli Wallach ในบท Tuco โจรกระจอกอัปลักษณ์ ตัวขโมยซีนประจำเรื่อง...จากนักแสดงนำชายทั้งสามคนในหนังเรื่องนี้ ปู่ Wallach คือคนที่ผมชอบมากที่สุด
นี่เป็นครั้งแรกที่ปู่ Wallach ได้มาแสดงในไตรภาคหนังคาวบอยชุดนี้ แต่ปู่แกกลับสามารถกลบคนที่อยู่(เล่น)มาก่อนอย่างปู่ Clint กับปู่ Van Cleef เสียมิดด้วยลีลายียวนกวนบาทา บางครั้งก็น่าสงสาร น่าเอาใจช่วย...แต่หลายๆครั้ง(มัน)ก็น่าเอาปืนยิงไส้กระจุย
น่า เสียดายแทนเป็นอย่างยิ่งที่ในปีนั้น ออสการ์ไม่แม้แต่จะเหลียวแลการแสดงปู่ Wallach ในหนังเรื่องนี้(ความจริงก็คือ...ออสการ์ไม่มีหนังเรื่องนี้อยู่ในสายตาตั้ง แรกแล้ว) เพราะในสายตาของผม การแสดงใน GB&U คู่ควรแก่การวินออสการ์ให้ปู่ Wallach เป็นอย่างยิ่ง
(ผมจึงดีใจเป็น อย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าปีหน้าออสการ์จะมอบรางวัลทรงเกียรติ์ (Honorary Award) ให้ปู่ Wallach …ที่แท้ปู่แกอายุยืนขนาดนี้ก็เพื่อรอวันนี้นี่เอง)
ด้วยความที่ GB&U เป็นหนังภาคที่มีทุนสร้างหนาที่สุดจากทั้งสามภาค (A Fistful of Dollars – 200,000 เหรียญ, For a Few Dollars More – 600,000 เหรียญ, GB&U – 1,500,000 เหรียญ) ผกก. Leone จึงสามารถเนรมิตอเมริกาภาคตะวักตกระหว่างเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นมาได้อย่าง ยิ่งใหญ่สมจริง รวมถึงฉากการรบระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ที่เป็นหนึ่งในฉากไคลแม็กซ์ของ เรื่อง(ที่ใช้คำว่าหนึ่งในเพราะหนังเรื่องนี้มีฉากไคลแม็กซ์มากกว่าหนึ่ง ฉาก)
ฉะนั้นจะว่าไปแล้ว นอกจาก GB&U จะเป็นหนังคาวบอย(ก็แน่ละ) หนังเรื่องนี้ยังเป็นหนังที่แฝงประเด็นการต่อต้านสงคราม (Anti-war) ด้วยเช่นกัน เช่นในฉากที่ Angel Eyes ยืนมองซากปรักหักพังของป้อมทหารโดยมีเพลงธีมของ Ennio Morricone คลอไปด้วย
หรือ ฉากที่บุรุษนิรนามพูดกับ Tuco ขณะดูการรบพุ่งของฝ่ายเหนือ-ฝ่ายใต้เพื่อแย่งชิงสะพานเล็กๆสะพานหนึ่งที่พวก ทหารชั้นผู้ใหญ่เห็นว่าเป็นจุดยุทธการสำคัญว่าไม่เคยเห็นมีคนเอาชีวิตมา ทิ้งได้ไร้ค่าเท่าครั้งนี้มาก่อนเลยเป็นต้น
ชวนให้ผมตั้งคำถามกับ ตัวเองขึ้นมาเล็กน้อยว่า หรือว่าหนังเรื่องนี้ผกก. Leone ก็ได้นำเอาหลักการมนุษยนิยมตามแบบในหนังซามูไรของ Akira Kurosawa มาใช้อีกครั้ง? (เพราะผกก. Leone เองนั้นได้รับแรงบันดาลใจในการทำหนังภาคแรก A Fistful of Dollars มาจาก Yojimbo หนึ่งในหนังซามูไรชื่อดังของ Kurosawa)
ตามธรรมเนียมของหนังคาวบอยส่วนใหญ่ ฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องมักจะมีเพียงฉากเดียวเท่านั้นคือฉากที่พระเอกดวลปืน กับผู้ร้ายตอนท้ายเรื่อง...แต่ GB&U กลับเลือกที่จะแหกธรรมเนียมนั้น(รวมถึงธรรมเนียมของหนังส่วนใหญ่ที่ว่าฉาก ดีๆต้องเก็บเอาไว้ท้ายๆ”)ด้วยการใส่ฉากสำคัญๆเข้ามาเรื่อยๆ ตั้งแต่ฉากดวลปืนในเมืองตอนกลางเรื่องยันฉากดวลปืนแบบสามต่อสามกลางสุสานตอน ท้ายเรื่อง
ฉากเด็ดๆเหล่านี้จะฝังเข้าไปอยู่ในความทรงจำของคนดูหลัง ดูจบโดยอัตโนมัติ เชื่อได้เลยว่าใครที่เคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อนจะต้องมีสักฉากในหนังเรื่อง นี้ที่ติดตาตรึงใจเป็นแน่
สำหรับผม...ฉากที่ติดตาตรึงใจผมมากที่สุด คือฉากที่บุรุษนิรนามจุดซิการ์ให้นายทหารที่ใกล้ตายคนหนึ่งได้สูบ...เป็นฉาก ที่ออร่าความแมนโคตรและโคตรแมนของปู่ Clint ฟุ้งกระจายมากที่สุด และแสดงพัฒนาการ(Character development) ของตัวละครบุรุษนิรนามที่ตอนต้นเรื่องเป็นแค่มือปืนเห็นแก่ได้ธรรมดาไปเป็น ชายคนหนึ่งที่เริ่มมีมโนธรรมในใจ
เพลงประกอบของ Ennio Morricone ก็มาพีคสุดๆสำหรับผมในฉากนี้ ชวนบีบน้ำตาลูกผู้ชายมากๆ...เป๊ะจริง อะไรจริง
สรุป...สมบูรณ์แบบในแทบทุกทาง คอหนังคาวบอยห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง


ที่มาแหล่งข้อมูล : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=apple101&month=14-09-2010&group=1&gblog=12

The Good, the Bad, and the Ugly    : Audio Spain
                                                                       : Sub Thai
Rip From DVD

DOWNLOAD
 

City of God



เรื่อง เกิดขึ้นที่สลัมชื่อ Cidade de Deus ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า City of God ในริโอเดจาเนโร สลัมแห่งนี้หาใช่เมืองสวรรค์ แต่กลับเป็นขุมนรกบนดินโดยแท้ เด็กที่นี่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรุนแรงและยาเสพติด อนาคตของพวกเขาหนีไม่พ้นการสังกัดแก๊งอันธพาลค้ายาไม่แก๊งใดก็แก๊งหนึ่ง ที่ต่อสู้ฟาดฟันแก้แค้นตายตกตามกันชนิดไม่รู้จบ โดยเด็กในสลัมจำนวนไม่น้อยต้องตายตั้งแต่ยังไม่ทันโตเต็มวัย สถานการณ์ในสลัมแห่งนี้ไม่ต่างไปจากสงครามกลางเมืองอันยืดเยื้อ เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นและดำเนินไป ถูกมองผ่านสายตาของหนึ่งในเด็กสลัมที่ใฝ่ฝันจะเป็นช่างภาพหนังสือพิมพ์  
 หนัง บราซิลเรื่องนี้ (ชื่อในภาษาโปรตุเกสว่า Cidade de Deus) ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ใน 4 สาขาสำคัญ คือการกำกับภาพ การตัดต่อภาพ การเขียนบทที่ดัดแปลงจากงานเขียน และผู้กำกับยอดเยี่ยม หนังเรื่องนี้น่าดูมากๆ เรื่องหนึ่งทีเดียว ขอแนะนำให้ใครที่หัวใจไม่อ่อนไหวลองหามาชมกัน City of God แห่งนี้ไม่ใช่เมืองสวรรค์ แต่เป็นชื่อสลัมในริโอ เดอ จาเนโร ที่อุดมไปด้วยนักเลง อาชญากรรม และยาเสพติด นครแห่งพระเป็นเจ้าที่นี้กำเนิดจากโครงการบ้านพักอาศัยที่สร้างเมื่อสี่ สิบกว่าปีก่อน และกลายเป็นพื้นที่อันตรายที่สุดในเวลาต่อมา หนังเรื่องนี้สร้างจากหนังสือที่เขียนอิงมาจากชีวิตจริง (เรื่อง Cidade De Dios เขียนโดย Paulo Lins) เนื้อหาในหนังเรื่องนี้รุนแรงมาก ดังเห็นได้จากภาพครึ่งล่างของโปสเตอร์ที่เป็นแก๊งนักเลงวัยรุ่นถือปืนพร้อม ลุย แม้แต่เด็กตัวกระเปี๊ยกก็ควักปืนอย่างห้าวหาญ หนังเรื่องนี้เป็นหนังรุนแรงที่ไม่ได้ต้องการขายความรุนแรง ไม่ใช่หนังที่ทำให้ความรุนแรงนั้นดูมีเสน่ห์ ไม่มีการมาทำถือปืนเท่ๆ โชว์ลีลาในการยิงคนตายแบบรักษามาด ไม่ใช่หนังที่มีการกระโดดหนีจากระเบิดแบบสโลว์โมชั่น ไม่ใช่หนังที่ดูแล้วเลือดพล่าน แต่เป็นหนังที่ทำให้เราเห็นภาพความรุนแรงที่มีอยู่จริงในสังคมอย่างเมือง City of God ชีวิตในเมืองที่แวดล้อมด้วยความรุนแรงเช่นนี้จะดิ้นหนีให้รอดไปจากจุดจบ อันเสมือนเป็นชะตากรรมที่ขีดไว้แล้วได้อย่างไร ภาพในหนังและการตัดต่อทำดีมาก ฉากเปิดเรื่องนี้น่าประทับใจที่สุดเรื่องหนึ่งทีเดียว เปิดเรื่องมาก็เรียกอะดรีนาลีนให้ทำงานโดยทันที หนังพาคนดูเข้าสู่โลกของนครแห่งพระเป็นเจ้าแห่งนี้แบบไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลง และเล่าเรื่องแบบรวดเร็ว ปัง ปัง ปัง ปัง เรื่อยไปจนจบ หนังยาวแต่ไม่มีจังหวะน่าเบื่อเลย ต้องชมคนเขียนบทและผู้กำกับว่าเล่าความได้ดีเหลือเกิน การลำดับความโดยมีการย้อนความตัดสลับระหว่างอดีตและปัจจุบันในหนังเข้าใจนำ มาใช้ได้มีพลัง
City of God เป็นชื่อภาษาอังกฤษของสลัมในบราซิลที่มีชื่อว่า Cidade de Deus โดย Cidade de Deus ได้ชื่อว่าเป็นที่สถานที่ที่อันตรายที่สุดในกรุงริโอ ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา
ก่อนหน้า City of God ผู้กำกับสายเลือดบราซิลเลี่ยน เฟอร์นันโด เมเรลเลส กำกับภาพยนตร์มาเพียง 4 เรื่อง นั่นคือ Olhar Eletronico (1986) The Nutty Boyz (1998) Maids (2001) และ PalaceII (2002)
เมเรลเลส เกิดในเมือง เซาเปาโล เมืองหลวงของประเทศบราซิล และก่อนหน้าที่จะมายึดอาชีพนี้อย่างจริงจัง เขาและเพื่อนๆ ได้ร่วมกันทำภาพยนตร์ทดลองขึ้น และก็สามารถคว้ารางวัลใหญ่จาก Brazilian Film Festival มาได้ หลังจากนั้น เมเรลเลส ก็หันมายึดอาชีพโปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์อยู่นาน 9 ปี
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 เมเรลเลส ก็ตัดสินใจเปิดบริษัทภาพยนตร์ที่ใช้ชื่อว่า O2 ขึ้น และเริ่มต้นทำภาพยนตร์เรื่องแรกในปี 1986 และในปี 1997 เมเรลเลส ก็มีโอกาสได้อ่านนิยายขายดีของบราซิลที่มีชื่อว่า Cidade de Davs หรือชื่อภาษาอังกฤษที่ใช้ว่า City of God ที่ เปาโล ลินส์ เขียนขึ้นจากประสบการณ์ในวัยเด็ก
เมเรลเรส ประทับใจในหนังสือ Cidade de Davs มากจนถึงขนาดที่ตัดสินใจที่จะดัดแปลงมันเป็นภาพยนตร์ และเป็นเรื่องที่ท้าทายที่จะดัดแปลงตัวละครกว่า 350 ชีวิตในหนังสือให้มีชีวิตอยู่บนจอ
City of God ออกฉายที่บราซิลในปี 2002 และประสบความสำเร็จอย่างสูง จากนั้นก็เริ่มออกฉายตามเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ ทั่วโลก โดยเริ่มต้นที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ก่อนจะไปประสบความสำเร็จสูงสุดบนเวทีออสการ์ ด้วยการเข้าชิงถึง 4 รางวัล โดยเฉพาะการเข้าชิงในสาขากำกับการแสดงยอดเยี่ยม
นักแสดงประกอบทุกคนถูกจ้างจากสลัมในริโอเดอจาเนโร ส่วนนักแสดงบางคน อาทิ ร็อกเก็ต ที่รับบทโดย อเล็กซานเดอร์ ร้อดรีเกวซ ในชีวิตจริงก็อาศัยอยู่ใน Cidade de Deus (City of God) ด้วย
เมื่อ เน็ด หรือ มาเน กาลินฮา ฆ่าคนเป็นครั้งแรก มีบางคนใน City of God มาแสดงความยินดีกับเขา ผู้หญิงคนแรกที่มาคุยกับเขา รับบทโดยคุณแม่ของ เน็ด ในชีวิตจริง
กองถ่ายภาพยนตร์ถูกลอบยิงถึง 2 ครั้ง ในระหว่างถ่ายทำฉากที่ ร็อกเก็ต นั่งรถตระเวนส่งหนังสือพิมพ์ และฉากงานปาร์ตี้เลี้ยงส่ง เคนนี่ โดยครั้งแรกนั้นมีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงล้อระเบิดในรถที่ ร็อกเก็ต นั่ง และครั้งที่ 2 ได้มีเสียงปืนดังขึ้นต่อเนื่องกว่า 10 นัด ทำให้กองถ่ายต้องชะงักการถ่ายทำไปกว่า 2 อาทิตย์ และไม่สามารถสืบหาต้นตอของมือปืนลึกลับนี้ได้ว่ามาจากที่ใด ผู้กำกับเคยพูดไว้ครั้งหนึ่งว่า ถ้าเขารู้ถึงความอันตรายในการถ่ายทำในสลัมที่กรุงริโอเดอจาเนโร เขาคงจะไม่สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้
ผู้กำกับ เฟอร์นันโด เมเรลเลส ได้เผยให้เห็นในดีวีดีว่าฉากที่ 3 หนุ่ม ปล้นรถแก๊สนั้น เป็นการล้อเลียนละครชุดทางโทรทัศน์ Charlie''s Angels ปี 1976 ที่มีการหันปืนไปในทิศต่างๆ
เพื่อเพิ่มความตึงเครียดระหว่าง ดาดินโฮ และ มาร์เรโค ผู้ฝึกสอนการแสดง ฟาติมา โตเลโด จึงบอก เรนาโต เดอ ซัวซา ผู้รับบท มาร์เรโค ให้แกล้ง ดักลาส ซิลวา ผู้รับบท ดาดินโฮ เป็นเวลา 15 วัน ในฉากที่ มาร์เรโค ตบ ดาดินโฮ จึงทำให้ ดักลาส ร้องไห้ และบอกว่าจะไม่แสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ดังนั้นฉากนี้ที่นักแสดงรู้สึกโกรธจึงเป็นเรื่องจริง
สถานที่ถ่ายทำฉากปล้นโรงแรมเป็นโรงแรมที่มีคนทำงานอยู่จริงๆ จากการถ่ายทำฉากนี้ ทำให้มีลูกค้าบางคนร้องทุกข์กับฝ่ายบริหารว่าพวกเขาได้ยินเสียงปืนในห้อง อื่นๆ ด้วย
ฉากที่ ร็อกเก็ต ตอนเด็ก ซึ่งแสดงโดย หลุยส์ โอตาวิโอ หัวเราะพี่ชายของเขาหลังจากที่ถูกตบโดยคุณพ่อ ความจริงแล้วไม่มีอยู่ในบท แต่ หลุยส์ หยุดหัวเราะไม่ได้ ทำให้ เรนาโต เด ซัวซา ซึ่งรับบทเป็นพี่ชาย ต่อบทด้วยการบอกน้องชายว่า "ไม่ต้องมาหัวเราะเลย"
วันหนึ่งในระหว่างพักการถ่ายทำ กลุ่มเด็กๆ ซึ่งรับบทเป็นแก๊งค์เด็กในเรื่องได้เข้าไปถาม บราอูลิโอ แมนโตวานี ว่าจริงหรือเปล่าที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะจบแบบแก๊งค์เด็กยึดสลัม เมื่อได้รับคำตอบจากผู้เขียนบท พวกเด็กๆ จึงขอให้บราอูลิโอเขียนบทภาคต่อ เพื่อให้พวกเขาได้แสดงภาพยนตร์อีกครั้ง
เพื่อเตรียมฉากที่หนึ่งในแก๊งค์เด็กต้องร้องไห้เมื่อถูกยิงที่เท้า ผู้ฝึกสอนการแสดง ฟาติมา โตเลโด ซึ่งค้นพบว่าสิ่งที่เด็กกลัวคือการปวดฟัน ดังนั้นเมื่อต้องถ่ายทำฉากนี้ เธอจึงบอกเขาว่าให้นึกถึงเวลาปวดฟันเอาไว้ และเมื่อถูกยิงตรงเท้า ให้แกล้งคิดว่าอาการปวดฟันนั้นย้ายมาอยู่ที่เท้า
ฉากที่คนในแก๊งค์สวดมนต์ก่อนสู้กันระหว่างแก๊งค์ไม่ได้มีอยู่ในบท ระหว่างการถ่ายทำมีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเคยอยู่ในแก๊งค์จริงๆ ได้ถามผู้กำกับ เฟอร์นันโด เมเรลเลส ทำไมถึงไม่ได้มีการสวดมนต์เหมือนที่เขาเคยทำก่อนที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู เมเรลเลสจึงบอกให้เขาเป็นผู้นำสวดเมื่อถึงเวลาถ่ายทำฉากนั้น
ฉากที่มีศพคนเสียชีวิตมากมายนอนอยู่บนพื้นคอนกรีต อ้างอิงมาจากภาพสงครามยาเสพติดที่ถ่ายโดยช่างภาพมือรางวัล
มีทีมงานบางคนปรากฏอยู่ในฉากห้องข่าวด้วย อาทิ ผู้กำกับศิลป์ ตูเล พีค ซึ่งรับบทเป็นชายสูงอายุที่ส่งยิ้มให้กับ ร็อกเก็ต
ฉากที่ ร็อกเก็ต พูดคุยกับ มาริน่า ซึ่งรับบทโดย กราเซียล่า โมเร็ตโต ว่า "เขาไม่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน" ความจริงแล้วไม่มีอยู่ในบท แต่เป็นช่วงเวลาพักระหว่างถ่ายทำ
ฉากสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เด็กผู้ชายทำรองเท้าแตะหลุดและกลับมาเก็บมัน ไม่มีในบท แต่เป็นเหตุการณ์จริงๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ และผู้กำกับ เฟอร์นันโด เมเรลเลส เก็บมาใช้ เพราะช่วยเน้นการคงอยู่ของเด็กคนนี้ในภาพยนตร์
ตอนท้ายเรื่องที่แก๊งค์เด็กพูดถึงรายชื่อของคนที่พวกเขาต้องการฆ่า มีเด็กๆ ที่เติบโตขึ้นแล้วเป็นส่วนหนึ่งของ Comando Vermelho (CV) หรือ Red Comman ซึ่งเป็นแก๊งค์ชื่อดังที่สุดในกรุงริโอ และเป็นที่รู้กันว่า CV มีรายชื่อคนที่ต้องการฆ่าจริงๆ
ลีแอนโดร เฟอมิโน ผู้รับบท ซี อาศัยอยู่ใน City of God จริงๆ และไม่ได้มีความอยากที่จะเป็นนักแสดงเลย เขาไปทำการทดสอบบทเพื่อรักษาบริษัทของเพื่อนเอาไว้เท่านั้น
ผู้ที่รับบท เน็ด เป็นนักร้องแซมบ้าโซลในบราซิล หนึ่งในเพลงของเขาถูกใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
ภาพยนตร์ขาวดำที่เป็นผู้ประกาศข่าวกำลังพูดถึง เน็ด หรือ มาเน กาลินฮา ในเรือนจำ คือ เซอร์จิโอ แชบพีลิน ผู้ประกาศข่าวชื่อดังชาวบราซิลจริงๆ

ที่มาแหล่งข้อมูล : http://www.dvdcanfly.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=98

City of God  : Audio Spain
                           : Sub Thai

Rip From DVD

DOWNLOAD
 

Blade Runner



เรื่องราวแห่งสหัสวรรษใหม่ ที่เริ่มเรื่อง ในปี 2019 ในเมืองลอส แอง เจลลีส จากฝีมือการกำกับของริดรี่ย์ สก๊อต กับหนังไซ-ไฟเรื่องเยี่ยม ที่เอาแฮริสัน ฟอร์ด มานำแสดงเป็น เด็คการ์ด กับบทบาทตำรวจนอกราชการ ที่ถูกเรียกตัวเพื่อมา ปฏิบัติภารกิจพิเศษ ล่าหุ่นวิศวกรที่ฉลาดและ.แข็งแรง กว่ามนุษย์ทั่วไป พวกมันคือเพวก เรพลิแค้นท์ พวกที่มาจากใต้ดิน และ.ขึ้นมาฆ่าคนเป็นว่าเล่น พวกมันถูกนำโดย รอย ผู้อหังการ ทั้งหัวหน้าและ.ลูก น้อง ต่างก็รู้ตัวดีว่า กำลังมีคนพยายามคิดกำจัดเขาอยุ่ ราเชล หนึ่งในขบวนการ เรพลิแคนท์ ที่คิดว่าตัวเองเป็นคน ที่ตกเป็นเป้า กามเทพจากเด็คการ์ด..ปฏิบัติการณ์ครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่
Los Angeles (2019) - เหลืออีก 9 ปีเอง ก็จะถึง แต่หนังเรื่องนี้มีการพูดไว้ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ปี 1982 หรือเมื่อ 28 ปีมาแล้ว เป็นการกำกับโดย ผู้กำกับที่ปัจจุบันใครๆก็ยกย่องในฝีมือ คือ Ridley Scott นำแสดงโดย Harrison Ford ,Sean Young, Rutger Hauer,Dayrl Hannah,Joanna Cassidy
หนังเรื่องนี้เป็นมุมมองในอนาคต ประชากรส่วนใหญ่อพยพ ไปอยู่ off world ลอสแองเจงลิส ในเวลานั้น เศรษฐกิจส่วนใหญ่อยู่ในมือคนญี่ปุ่น สังเกตภาษาหลัก แทบจะกลายเป็นภาษาญี่ปุ่น การแต่งตัว โปสเตอร์ อาหารการกิน เนื้อเรื่องพูดถึงกลุ่มหุ่นยนต์ที่สามารถมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์มากๆ คือ กลุ่ม Replicant หุ่นยนต์เหล่านี้เหมือนคนจนดูไม่ออก ซึ่งการจะแยกแยะออกมาได้อยู่ที่ดวงตา จะมีอาการตอบรับอย่างไรเมื่อมีการถามคำถาม ประมาณ 20-30 คำถาม ดังนั้นความรู้สึกของหุ่นยนต์นี้สามารถ รับความรู้สึกของมนุษย์ได้ ทั้งความรัก การแสดงอาการเสียใจ (มีน้ำตา) อาการโกธรแค้น และสามารถมีเพศสัมพันธ์กับมนุษย์ได้
กลุ่มหุ่นยนต์นี้ ถูกสร้างให้เป็น Slave ของเจ้านาย และนำไปใช้ในเขต Off world ถ้าหุ่นยนต์ตัวไหน หนีออกจากเจ้านาย ก็จะถูกตามล่าโดย อาจจะเป็นตำรวจหรือมือสังหาร ที่ถูกเรียกว่า Blade Runner Harrison Ford เล่นเป็น อดีตตำรวจที่มีฝีมือในการล่า หุ่นยนต์ Replicant ซึ่งได้เลิกการล่าหุ่นยนต์เหล่านี้แล้ว แต่ครั้งนี้เขาถูกตามตัวมาล่า หุ่นยนต์ 4 ตัวด้วยกัน ระหว่างการตามล่า เขากลับตกหลุมรักหุ่นยนต์สาว (sean young) ซึ่งเป็นผู้ช่วยสาว ขององค์การที่ผลิตหุ่นยนต์นี้
ถ้า อ่านเนื้อเรื่องมาเท่านี้ ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้ อาจจะไม่ต่างกับหนังแอ๊คชั่น หรือ หนังวิทยาศาตร์โดยทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หรือ 50 หนังยอดเยี่ยมตลอดกาล ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายๆอย่างดังต่อไปนี้
การดำเนินเรื่องเป็นลักษณะ Film Noir นี่ไม่ใช่หนังในลักษณะยิงกัน หรือ ในลักษณะหนังของ Scott ในระยะหลัง แต่การดำเนินเรื่อง เป็นลักษณะแสดงให้เห็นภาวะจิตใจของแต่ละตัวละครในลักษณะหม่นหมอง ทั้งเรื่อง (ลักษณะเดียวกับ Batman Begins แต่หม่นมากกว่าอีก) ลักษณะหนังดูเหมือนเป็นการสืบสวน สอบสวนแต่เพียงแต่ย้ายหนังไปสู่อนาคต
จินตนาการ ของผู้เขียนเรื่องนี้ (สร้างจาก หนังสือเรื่อง Do Android dream of electric sheep) ที่มีหลายแง่มุมที่เกิดขึ้นจริง คำสั่งให้ คอมพิวเตอร์ทำงานโดยการพูด (ต้องเข้าใจว่า ปี 1982 นั้น เครื่องคอมไม่ใช่Pc ในปัจจุบัน) คัตเอาท์ขนาดใหญ่ที่มีการแสดงภาพเคลื่อนไหวได้, การใช้โทรศัพท์แบบเห็นหน้า, ลิฟท์แบบ Digital และอื่นๆ การทำนายถึงสภาพสิ่งแวดล้อมอันเลวร้าย จนคนต้องอพยพไปอยู่ต่างโลก โดยมีสภาวะ Acid rain, ลอสแองเจลิส ที่เป็นไปด้วยผู้คนแออัด จราจรติดขัด (นี่มันกรุงเทพชัดๆ)
เนื้อเรื่อง ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบว่า หุ่นยนต์ เป็น Slave แต่ในแง่ความเป็นจริง หนังพยายามสื่อ ถึงบุคคลที่ด้อยโอกาสกว่าในสังคมและ ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคนที่มีอำนาจกว่า ซึ่งเป็นความเจ็บปวด และการขาดอิสะ ทั้งความคิด และเสรีภาพ การที่ผู้มีอำนาจกว่าสามารถทำอะไรก็ได้ ทั้งการสั่ง และการมีเพศสัมพันธ์ (อันนี้สามารถสื่อได้จากในฉากสุดท้ายที่หุ่นยนต์บอกพระเอก)
คุณ สามารถสัมผัสหนังเรื่องนี้ได้อย่างกลมกลืน ในการดำเนินเรื่อง ทางองค์ประกอบทางศิลป์ (ถูกเสนอชื่อชิง 2 รางวัลจากกำกับฝ่ายศิลป และ Visual Effect) ดนตรีโดย Vangelic ซึ่งผมชอบมากโดยฌฉพาะตอน End credit การถ่ายภาพ และ การแสดงอันยอดเยี่ยม เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย หนังเรื่องนี้เมื่อฉายครั้งแรก ดูเหมือนหนังจะมาก่อนเวลา เพราะคนคาดว่าจะได้เห็นความตื่นเต้น เต็มๆเหมือน Alien หรือ Starwars แต่หนังดำเนินเรืองไปคนละแนว รวมถึง ในปีเดียวกัน ET ถูกนำออกฉาย ซึ่งเป็นคนละฝั่งกับหนังเรืองนี้ จึงไม่ประสพความสำเร็จ ทั้งในด้านรางวัลและรายได้ และอีกประการหนึ่ง การทำให้หนังต้องเปลี่ยนตอนจบใหม่ให้สมหวังตามนายทุนเจ้าของหนัง
แต่ เมื่อเวลาผ่านไป หนังเรื่องนี้ได้รับการกล่าวขวัญ และได้รับการยกย่องมากขึ้น จนกลายเป็นหนังยอดเยี่ยมสำหรับหลายๆท่าน และเป็นต้นฉบับให้กับหนังหลายๆเรื่อง เช่น The Fifth Elements และ Scott ก้เริ่มมีpower มากขึ้นในการสามารถ ตัดต่อหนังให้เป็นในแบบที่เขาต้องการ โดยครั้งแรกในปี1997 และครั้งสุดท้ายคือในฉบับที่ผมได้ดูคือ ปี 2007 ซึ่งถ้าไม่บอกว่านี่คือหนังปี1982 ผมเชื่อว่า หลายท่านอาจจะคิดว่า นี่คือหนังใหม่ เพราะไม่มีร่องรอยความเก่าให้เห็นเลย และนี่คือ ผลงาน MASTERPIECE ของ RIDLEY SCOTT อย่างแท้จริง

ที่มาแหล่งข้อมูล : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=abandonguy&month=02-2010&date=18&group=1&gblog=6


Blade Runner    : Audio Spain
                                : Sub Thai
Rip From DVD

DOWNLOAD
 

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

For a Few Dollars More นักล่าเพชรตัดเพชร


ภาคต่อของหนังคาวบอยสุดฮิต A Fistful of Dollars (1964) ของผู้กำกับ เซอร์จิโอ เลโอเน่ ชาวอิตาเลียน คลิ้นท์ อีสท์วู้ด กลับมาอีกครั้งกับบทบาทมือปืนไร้นาม ปะทะบทบาทกับ ลี เวนคลีฟ เพื่อตามล่าโจรปล้นธนาคาร ชื่อ อินดิโอ เพื่อหวังเงินรางวัลค่าหัว จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ยังอยู่ที่การตัดต่อและเสียงดนตรีประกอบของ เอ็นนีโน มอร์ริโคเน่ ซึ่งถูกนำมาใช้อย่างโดดเด่นมีพลังในฉากดวลปืน ตอนท้ายของเรื่อง ภาคต่อในหนังชุดไตรภาคชุดนี้ก็คือเรื่อง The Good, The Bad & The Ugly

For a Few Dollars More  : Audio Eng
                                            : Sub Thai
Rip From DVD

DOWNLOAD

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

A Fistful of Dollars


โจ นักแสวงโชคชาวอเมริกัน เดินทางพบกัน ซิล วาติโน่ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่ประเทศเม็กซิโก ระหว่างทางบังเอิญพบกับเจ้าพ่อ 2 คน โรฮอส และ.แบ็คเตอร์ และ.เพื่อ ที่จะรักษาความยุติธรรมของบ้านเมือง โจ จึงนำต้องออกปกป้องครอบครัวของ มาริซอล อีกทั้งยังรับปากช่วยรัฐบาลของเม็กซิโกในการช่วงชิงเอาทองคำที่ถูกปล้นไปคืน มาจากพวกของราโมน

A Fistful of Dollars  : Audio Eng.
                                       : Sub Thai
Rip From DVD

DOWNLOAD
 

BUTCH CASSIDY AND THE SUNDANCE KID สองสิงชาติไอ้เสือ


ภาพยนต์อเมริกันตะวันตกที่สร้างจากเรื่องจริงในยุคปี 1800 ของ  20th Century Fox อำนวยการสร้างโดย  George Roy Hill และกำกับการแสดงโดย John Foreman เรื่องราวของคู่หูอาชญากรสมองเพชรที่วางแผนการปล้นทั้งรถไฟและธนาคาร นำแสดงโดย  Paul Newman และ  Robert Redford สองพระเอกตลอดกาลแห่งวงการโลกมายาฮอลลีวูด
โดยส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างประทับใจ กับการเปิดตัวดารานำแสดงของภาพยนต์เรื่องนี้ ที่ได้รับการกล่าวขานกันว่าเป็นฉากที่คลาสสิคอมตะตลอดกาลอีกเรื่องหนึ่งในวง การภาพยนต์เลยทีเดียว
บุช ซึ่งรับบทโดย  Paul Newman ปั่นจักรยานพาแอ๊ตต้า รับบทโดย.. Katharine Ross ..แฟนสาวของซันแดนซ์ ที่รับบทโดย Robert Redford นั่งซ้อนบริเวณแฮนด์แล้วปั่นวนไปวนมารอบๆ ฟาร์ม ทั้งยังแสดงความสามารถในการบังคับจักรยาน โดยไม่ได้มีการใช้แสตนอินแต่อย่าง ใด พร้อมๆ กับเพลงประกอบที่สุดแสนจะไพเราะอย่าง  Raindrops keep fallin’ on my head ที่กวาดรางวัลมาอย่างมากมาย ของ Hal David และ Burt Bacharach ขับร้องโดย  B. J. Thomas ที่ช่วยสะกดให้ผู้ชมได้หยุดนิ่งและเพลิดเพลินไปกับการถ่ายทอดเนื้อหาของภาพยนต์และอารมณ์ของผู้แสดงได้อย่างลงตัว
นอกจากนี้ภาพยนต์เรื่องนี้เคยถูกจัดอันดับในลำดับที่ 50 ของภาพยนต์อเมริกันที่ดีที่สุดในรอบ 100 ปี โดย  National Film Registry เมื่อปี 2003 ด้วย

ที่มาข้อมูล : http://pongphun.wordpress.com/2010/07/17/butch-cassidy-and-the-sundance-kid/

BUTCH CASSIDY AND THE SUNDANCE KID : Audio Spain
                                                                                   : Sub Thai
Rip From DVD

DOWNLOAD
 

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Roman Holiday


Audrey Hepburn ได้รับรางวัลออสการ์ในฐานะผู้แสดงนำฝ่ายหญิงจากเรื่องนี้ ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตการแสดงของเธอ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอให้เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 10 สาขา และออเดรย์ เฮพเบิร์นคว้าออสการ์มาครองได้สำเร็จ จากบทบาทเจ้าหญิงสมัยใหม่ผู้ต่อต้านภาระหน้าที่แบบราชวงศ์ และออกสำรวจกรุงโรมตามลำพัง เธอได้พบกับเกรเกอรี่ เพ็ค นักหนังสือพิมพ์อเมริกันซึ่งกำลังเสาะหาเรื่องราวเอ็กซ์คลูซีฟ และแกล้งทำเป็นไม่สนใจฐานะที่แท้จริงของเธอ ทว่าแผนการของเขาต้องสะดุดลงเมื่อทั้งสองเกิดตกหลุมรักกันเข้า เอ็ดดี้ อัลเบิร์ทร่วมสร้างความเฮฮาในบทของช่างภาพผู้รื่นรมย์ คู่หูพระเอก ด้วยฝีมือกำกับฯ ของวิลเลี่ยม ไวเลอร์ เรื่องรักเบาสมองนี้จึงถูกจัดเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ให้ความเพลิดเพลินมาก ที่สุดตลอดกาล

Roman Holiday   : Audio Spain
                           : Sub Thai
Rip From DVD

DOWNLOAD